tag:blogger.com,1999:blog-65390047507271687472024-03-21T18:11:23.775-07:00Folic AcidFolic Acic and Pregnancy
กรด โฟลิก กับการตั้งครรภ์Aorsakhttp://www.blogger.com/profile/14386153354645555168noreply@blogger.comBlogger17125tag:blogger.com,1999:blog-6539004750727168747.post-15995299434381675892010-09-19T21:17:00.001-07:002010-09-19T21:17:45.318-07:00บร็อคโคลี่ป้องกันข้อต่ออักเสบบร็อคโคลี่ป้องกันข้อต่ออักเสบ<br /> นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษกล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าบร็อคโคลี่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ แต่จากการวิจัยพบว่ามันยังช่วยป้องกันการเกิดโรคข้อกระดูกอักเสบอีกด้วย<br /><br />นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอีส แองเลีย (University of East Anglia) ได้ดำเนินโครงงานวิจัยเพื่อศึกษาว่าสารที่พบในบร็อคโคลี่สามารถช่วยชะลอหรือป้องกันการเกิดโรคข้อกระดูกอักเสบได้หรือไม่ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า จากการทดสอบในห้องปฏิบัติการเบื้องต้นพบว่าสารไบโอแอคทีฟที่พบในบร็อคโคลี่ ที่มีชื่อว่า ชัลโฟราเฟน (sulforaphane) มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่มีส่วนก่อให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อม ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากภาวะข้อต่ออักเสบ<br /><br />นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า สหราชอาณาจักรมีประชากรวัยสูงอายุจำนวนมาก จึงต้องมีการพัฒนาวิธีต่างๆ เพื่อต่อสู้กับโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุที่เพิ่มขึ้น เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุให้ดีขึ้น และยังช่วยลดภาระทางด้านเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย<br /><br />งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาเป็นระยะเวลา 3 ปี และยังได้ทำการทดสอบสารที่พบในอาหารประเภทอื่นๆ ที่ส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคข้อกระดูกอักเสบ โดยพบว่า สาร ไดอัลลิลไดซัลไฟด์ (diallyl disulfide) ที่มีอยู่ปริมาณมากในกระเทียม สามารถช่วยชะลอการถูกทำลายของกระดูกอ่อนอีกด้วย<br /><br />ข่าวจากUIPAorsakhttp://www.blogger.com/profile/14386153354645555168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6539004750727168747.post-82336060437449785362010-09-19T21:14:00.000-07:002010-09-19T21:15:44.548-07:00Oral iron supplements (ธาตุเหล็กชนิดรับประทาน)Oral iron supplements (ธาตุเหล็กชนิดรับประทาน)<br />คำอธิบายพอสังเขป<br />ธาตุเหล็กในรูปแบบรับประทานใช้สำหรับเสริมธาตุเหล็กสำหรับผู้ที่มีภาวะโลหิตจางจากธาตุเหล็ก หรือมีความเสี่ยงจากการขาดธาตุเหล็ก <br /><br />แพทย์อาจสั่งใช้ยานี้เพื่อรักษาโรคหรืออาการอื่นที่นอกเหนือจากนี้ ควรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากแพทย์และเภสัชกร<br />ธาตุเหล็กเป็นเกลือแร่ที่มีความจำเป็นในการสร้างฮีโมโกลบินซึ่งเป็นส่วนประกอบในเม็ดเลือดแดง หากร่างกายได้รับไม่เพียงพอจะทำให้เกิดโรคโลหิตจาง <br /><br />ธาตุเหล็กมีอยู่มากในอาหารหลายชนิด หากรับประทานอาหารได้ตามปกติและรับประทานอาหารครบถ้วน ก็ไม่จำเป็นต้องได้รับธาตุเหล็กเสริม อย่างไรก็ตาม มีคนบางกลุ่มที่มีความต้องการธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น เช่น ผู้สูญเสียเลือด, ผู้ป่วยโรคไตที่ทำฮีโมไดแอลิสิส (haemodialysis), ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะและลำไส้, ผู้รับประทานอาหารได้น้อยหรือรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กไม่เพียงพอ, ทารกที่ได้รับนมแม่หรือนมผสมที่มีธาตุเหล็กต่ำ และหากได้รับไม่เพียงพอจะทำให้เกิดอาการของการขาดธาตุเหล็กได้ ผู้ที่ขาดธาตุเหล็กจะมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจได้สั้น ๆ เคลื่อนไหวเชื่องช้าลง และมีปัญหาในการเรียนรู้ และทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายขึ้น <br /><br />แหล่งของอาหารที่มีธาตุเหล็กมากคือ เนื้อสัตว์, ปลา, สัตว์ปีก, ถั่ว ผลไม้แห้งและเมล็ดธัญญพืช ธาตุเหล็กในอาหารมีสองรูปแบบคือ เหล็กในรูปแบบฮีม (heam iron) ซึ่งดูดซึมในทางเดินอาหารได้ดี และเหล็กที่ไม่ใช่ฮีม (nonheam iron) ซึ่งดูดซึมได้น้อยกว่ารูปแบบฮีม แหล่งของอาหารที่ธาตุเหล็กแบบฮีม คือ เนื้อแดงไม่ติดมัน (เนื้อสัตว์สี่เท้า) สำหรับเนื้อสัตว์ปีกและปลามีธาตุเหล็กเช่นกันแต่มีน้อยกว่าเนื้อแดง ส่วนเมล็ดธัญญพืช ถั่ว และผักบางชนิดมีธาตุเหล็กในรูปแบบที่ไม่ใช่ฮีม <br /><br />ไม่ควรเริ่มต้นรับประทานธาตุเหล็กเสริมเองโดยไม่ได้รับการตรวจจากแพทย์ เนื่องจากภาวะโลหิตจางไม่ได้เกิดจากการขาดธาตุเหล็กเพียงอย่างเดียว แต่เกิดได้ทั้งจากการขาดสารอาหารอื่นด้วย เช่น วิตามินบี 12, กรดโฟลิก นอกจากนี้อาจเกิดจากการสูญเสียเลือด หรือ เม็ดแดงถูกทำลายด้วยสาเหตุต่าง ๆ เช่น ยา, โรคธาลัสซีเมีย (thalassaemia) โดยเฉพาะผู้ที่เม็ดเลือดแดงถูกทำลายจะมีเหล็กออกมาจากเม็ดเลือดที่ถูกทำลายและสะสมอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว เมื่อได้รับธาตุเหล็กจากยาที่รับประทานเข้าไปอีกจะยิ่งเสริมทำให้เกิดพิษจากธาตุเหล็กได้<br /><br />ยาเสริมธาตุเหล็กมีสองรูปแบบคือ เกลือเฟอร์รัส (ferrous salts) และเกลือเฟอร์ริก (ferric salts) โดยเกลือเฟอร์รัส ถูกดูดซึมในทางเดินอาหารได้ดีกว่าเกลือเฟอร์ริก นอกจากนี้ยาเสริมธาตุเหล็กอาจอยู่ในรูปแบบของเกลือหลายชนิด เช่น เฟอร์รัสฟูมาเรท (ferrous fumarate), เฟอร์รัสซัลเฟต (ferrous sulfate), เฟอร์รัสกลูโคเนต (ferrous gluconate), เฟอร์ริกแอมโมเนียมซิเตรท (ferric ammonium citrate) และไอรอนไฮดรอกซีโพลีมอลโทสคอมเพลกซ์ (iron hydroxide polymaltose complex) เกลือของธาตุเหล็กแต่ละชนิดมีปริมาณธาตุเหล็กแตกต่างกัน หากขนาดยาที่ให้มีปริมาณธาตุเหล็กที่เพียงพอ อัตราการสร้างฮีโมโกลบินก็จะไม่ขึ้นกับชนิดของเกลือของธาตุเหล็ก <br /><br />ขนาดยาของเกลือของธาตุเหล็กสำหรับรับประทานต้องคำนวณในรูปของธาตุเหล็ก (elemental iron) เช่น <br /><br />■เฟอร์รัสฟูมาเรตแบบไม่มีน้ำ (anhydrous) 200 มิลลิกรัม มีธาตุเหล็ก 65 มิลลิกรัม<br />■เฟอร์รัสกลูโคเนตซึ่งมีน้ำ 2 โมเลกุล (dihydrate) 300 มิลลิกรัม มีธาตุเหล็ก 35 มิลลิกรัม<br />■เฟอร์รัสซัลเฟตซึ่งมีน้ำ 7 โมเลกุล (heptahydrate) 300 มิลลิกรัม มีธาตุเหล็ก 60 มิลลิกรัม<br />■เฟอร์รัสซัลเฟตแบบไม่มีน้ำ (anhydrous) 200 มิลลิกรัม มีธาตุเหล็ก 65 มิลลิกรัม<br /><br />ธาตุเหล็กถูกดูดซึมได้ดีในสภาวะที่เป็นกรด เนื่องจากเหล็กอยู่ในสภาพที่ละลายได้ดี โดยถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenum) แต่เนื่องจากในลำไส้เล็กส่วนต้นมีความเป็นกรดน้อย ดังนั้นสารที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น วิตามินซี หรือกรดแอสคอบิก (ascorbic acid) จึงช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก สูตรของธาตุเหล็กชนิดรับประทานบางสูตรจึงมีการเติมวิตามินซีเพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึมของเหล็ก <br /><br />นอกจากนี้ยังมีการเติมสารอาหารอื่น ๆ อย่างหลากหลาย เช่น วิตามิน ได้แก่ วิตามินบี 1, วิตามินบี 2, วิตามินบี 6, วิตามินบี 12, กรดโฟลิก (จัดเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่ง), ไนอาซิน (หรือวิตามินบี 3 บางตำราใช้คำว่าไนอาซินเป็นคำรวมสำหรับกรดนิโคทินิก และ นิโคทินาไมด์ หรือ ไนอาซินาไมด์), แคลเซียมแพนโททีเนท (จัดเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่ง), ไบโอทิน (จัดเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่ง), วิตามินดี, วิตามินอี, วิตามินเค, และเกลือแร่อื่น เช่น ทองแดง, แมกนีเซียม, แมงกานีส, แคลเซียม, ไอโดดีน, ฟลูออไรด์, สังกะสี, ฟอสฟอรัส นอกจากนี้บางสูตรยังมีการเติมสารสกัดตับ <br /><br />อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับประโยชน์ของการเติมสารอาหารเหล่านี้ลงไป ยกเว้นการเติมกรดโฟลิกในสูตรยาสำหรับสตรีมีครรภ์ซึ่งพบว่ามีประโยชน์ เนื่องจากทารกในครรภ์ต้องได้รับกรดโฟลิกอย่างเพียงพอด้วย การเลือกใช้ธาตุเหล็กตำรับใดนั้นจึงควรพิจารณาจากสูตรตำรับ, รสชาติ, อุบัติการณ์ของอาการไม่พึงประสงค์ และราคา<br /><br />ถ้าท่านใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีธาตุเหล็กด้วยตนเอง ควรอ่านฉลากให้ละเอียดและปฏิบัติตามคำเตือนอย่างเคร่งครัด ในกรณีการใช้ยาที่มีธาตุเหล็ก ให้คำนึงเสมอว่า ยาทุกชนิดมีความเสี่ยง การตัดสินใจใช้ยาจึงต้องประเมินผลดีและผลเสียที่จะได้รับ สำหรับการรับประทานยาที่มีธาตุเหล็ก<br /><br />ก่อนการใช้ยา<br />การแพ้ยา<br />โปรดแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านเคยมีอาการผิดปกติใด ๆ หรือมีประวัติการแพ้ยาที่มีธาตุเหล็ก หรือ ส่วนประกอบใด ๆ ในยาเหล่านี้ รวมทั้งการมีประวัติเคยแพ้สารอื่นๆ เช่น อาหาร สารกันเสียหรือสี เป็นต้น<br /><br />อาหารและเครื่องดื่มที่ต้องระวัง<br />เมื่อรับประทานธาตุเหล็กร่วมกับกับอาหารบางชนิดจะทำให้ลดการดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่กระแสเลือดทำให้ลดประสิทธิผลของธาตุเหล็ก จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเหล่านี้ในปริมาณมาก ๆ ร่วมกับธาตุเหล็ก หากท่านจะรับประทานอาหารเหล่านี้ ควรรับประทานอาหารเหล่านี้ให้ห่างจากการรับประทานธาตุเหล็กอย่างน้อย 1 – 2 ชั่วโมง <br /><br />■นม<br />■ไข่<br />■ชีส และโยเกิรต์<br />■ผักโขม (spinach)<br />■ชา หรือกาแฟ<br />■ข้าวกล้อง, เมล็ดธัญญพืช และขนมปังธัญญพืช<br /><br />ตั้งครรภ์<br />ไม่มีข้อมูลการจัดยาที่เป็นธาตุเหล็กว่าอยู่ในประเภทใดของการจัดกลุ่มยาที่มีผลต่อสตรีมีครรภ์ (pregnancy category) <br /><br />สตรีมีครรภ์จำเป็นต้องได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ หากรับประทานอาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็กเพียงพอก็ไม่จำเป็นต้องได้รับธาตุเหล็กเสริม <br /><br />อย่างไรก็ตามในช่วง 6 เดือนหลังของการตั้งครรภ์ ทารกในครรภ์มีความต้องการธาตุเหล็กในการพัฒนาการเพิ่มขึ้น สตรีมีครรภ์จึงต้องได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ แต่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่มีธาตุเหล็ก ปริมาณมากในระหว่างมีครรภ์ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อทั้งแม่ และ/หรือ ทารกในครรภ์<br /><br />เด็ก<br />ไม่มีรายงานว่าพบปัญหาใด ๆ ในเด็กที่รับประทานยาที่มีธาตุเหล็กตามปริมาณปกติที่ควรได้รับต่อวัน อาการข้างเคียงของยาที่มีธาตุเหล็กที่พบในเด็กและผู้ใหญ่ไม่ได้มีความแตกต่างกัน แต่ก็ต้องระมัดระวังเพราะมีรายงานเด็กรับประทานธาตุเหล็กมากเกินไปโดยอุบัติเหตุ จนทำให้เกิดพิษต่อร่างกาย เนื่องจากเด็กเข้าใจผิดว่ายาที่มีธาตุเหล็กเป็นลูกอมหรือขนมกินเล่น<br /><br />ผู้สูงอายุ<br />ไม่มีรายงานว่าพบปัญหาใด ๆ ในผู้สูงอายุที่รับประทานยาที่มีธาตุเหล็กตามปริมาณปกติที่ควรได้รับต่อวัน บางครั้งผู้สูงอายุอาจต้องการยาที่มีธาตุเหล็กในปริมาณสูงกว่าคนหนุ่มสาว เนื่องจากมีปัญหาในการดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกาย อย่างไรก็ตามอย่าเพิ่มปริมาณยาที่มีธาตุเหล็กด้วยตนเอง ควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร <br /><br />ยาอื่นที่ใช้อยู่<br />ถึงแม้ว่ายาบางอย่างไม่ควรใช้ร่วมกัน ในบางกรณีที่จำเป็นอาจใช้ร่วมกันได้ถึงแม้ว่าอันตรกิริยาอาจเกิดขึ้นก็ตาม โดยแพทย์อาจปรับเปลี่ยนขนาดยาหรืออาจมีข้อควรระวังอื่นๆ ที่จำเป็น เมื่อท่านต้องการจะรับประทานยาที่มีธาตุเหล็ก ท่านต้องแจ้งบุคลากรทางการแพทย์ หากท่านกำลังใช้ยาต่อไปนี้ <br /><br />ก. ยาที่ธาตุเหล็กมีผลรบกวนการดูดซึม ทำให้ยาถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดลดลง และลดผลการรักษาได้ เช่น <br /><br />■ยาต้านเชื้อแบคทีเรียกลุ่มฟลูออโรควิโนโลน เช่น อีนอกซาซิน (enoxacin), ซิโพรฟลอกซาซิน (ciprofloxacin), โลมืฟลอกซาซิน (lomefloxacin), ลีโวฟลอกซาซิน (levofloxacin), นอร์ฟลอกซาซิน (norfloxacin), โอฟลอกซาซิน (ofloxacin), สปาร์ฟลอกซาซิน (sparfloxacin)<br />■ยาต้านเชื้อแบคทีเรียกลุ่มเททราไซคลีนชนิดรับประทาน <br />■เอทิโดรเนต (etidronate)<br />■เอนทาคาโพน (entacapone)<br />■ลีโวโดพา (levodopa)<br />■เมทิลโดพา (methyldopa)<br />■ลีโวไทรอกซีน (levothyroxine) หรือ ไทรอกซีน (thyroxine)<br />■ฯลฯ<br /><br />หากจำเป็นต้องใช้ร่วมกันควรรับประทานยาที่มีธาตุเหล็กห่างจากการรับประทานยาเหล่านี้ 2 ชั่วโมง <br /><br />ข. ยาที่ลดการดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ประสิทธิผลของธาตุเหล็กลดลง <br /><br />■ยาลดกรด (antacids)<br />■แมกนีเซียมไทรซิลิเคต (magnesium trisilicate)<br />■เกลือแคลเซียม (calcium salts)<br />■ยาที่มีส่วนประกอบของสังกะสี โดยสังกะสีลดการดูดซึมของธาตุเหล็ก และในขณะเดียวกัน ธาตุเหล็กก็ลดการดูดซึมของสังกะสีเข้าสู่กระแสเลือด<br /><br />หากจำเป็นต้องใช้ร่วมกันควรรับประทานยาที่มีธาตุเหล็กก่อนหรือหลังยาเหล่านี้ 2 ชั่วโมง <br /><br />ค. ยาที่เมื่อใช้ร่วมกับยาที่มีธาตุเหล็กอาจทำให้ประสิทธิผลของยาทั้งสองชนิดลดลง <br /><br />■กรดแอซีโทไอดรอกซามิก (acetohydroxamic acid) <br /><br />ง. ยาที่เมื่อใช้ร่วมกับยาที่มีธาตุเหล็กจะทำให้เกิดอันตรายได้ <br /><br />■ไดเมอแคพรอล (dimercaprol) เนื่องจากธาตุเหล็กและไดเมอแคพรอลอาจจับกันในร่างกายและทำให้เกิดสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ <br /><br />ภาวะโรคร่วม<br />ปัญหาความเจ็บป่วยอื่นที่ท่านเป็นอยู่อาจส่งผลต่อการใช้ยาที่มีธาตุเหล็ก ท่านควรแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านมีสภาวะเหล่านี้ร่วมด้วย เช่น <br /><br />■ติดสุราเรื้อรัง หรือ<br />■มีแผลเปื่อยในกระเพาะอาหาร (stomach ulcer) หรือ<br />■ลำไส้ใหญ่อักเสบ (colitis) หรือ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ (intestinal problems) หรือ<br />■ได้รับการเลือด (เนื่องจากในเลือดมีเม็ดเลือดแดงที่มีธาตุเหล็กมาก) หรือ<br />■ภาวะที่มีเหล็กในร่างกายมากอยู่แล้ว เช่น ฮีโมโครมาโทซีส (hemochromatosis), ฮีโมสิเดอโรซีส (hemosiderosis), ฮีโมกลอบิโนพาทีส์ (hemoglobinopathies) หรือ<br />■ภาวะโลหิตจางที่ไม่ได้เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก เพราะการได้รับธาตุเหล็กโดยไม่จำเป็นอาจทำให้เกิดพิษได้ โดยเฉพาะภาวะโลหิตจางที่เกิดจากเม็ดเลือดแดงแตก, โรคธาลัสซีเมีย หรือ<br />■มีการติดเชื้อในไต หรือ <br />■เป็นโรคตับ หรือ<br />■เป็นโรคพอร์ฟีเรียคิวทาเนียสทาร์ดา (porphyria cutaneous tarda) เพราะอาจทำให้มีระดับของเหล็กในเลือดสูงจนเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ หรือ <br />■เป็นโรคข้ออักเสบรูมาทอยด์ (rheumatoid arthritis) หรือ <br />■เป็นโรคหอบหืด (asthma) <br /><br />ยา<br />ยาต่อไปนี้อยู่ในกลุ่มยานี้<br /><br />■Ferric ammonium citrate<br />■Ferrous fumarate<br />■Ferrous sulfate<br />■Iron hydroxide polymaltose complex Or Ferric hydroxide polymaltose complex <br />แหล่งอ้างอิง<br />1.British Medical Association and Royal Pharmaceutical Society of Great Britain. British National Formulary. 50th ed. (September, 2005) BMJ Publishing Group Ltd., London, 460-465, 484-489, 489-494.<br />2.CPM medica. MIMS Thailand Online. Available at http://www.mims.com. Access Date: 29 April, 2010. <br />3.MedlinePlus Trusted Health Information for You. Iron supplements (systemic). Available at http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/druginfo/drug_Aa.html. Access Date: March 17, 2005.<br />4.Anderson PO, Knoben JE, Troutman EG. Handbook of Clinical Drug Data. 10th ed. McGraw-Hill, Medical Publishing Division, New York. 2002: 619-621.<br />5.Sweetman SC, Martindale The complete drug reference 34th ed,, 2005, Pharmaceutical press, p.1436<br />6.สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา แสดงรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ ประเภททะเบียน ยามนุษย์ผลิตภายในประเทศ ... Available at: www2.fda.moph.go.th/.../dgexp111.asp?... Access date: June 20, 2010.<br /><br /><br />ร่วมเขียนและตรวจสอบโดย วิบุล วงศ์ภูวรักษ์ , โพยม วงศ์ภูวรักษ์ <br />เขียนเมื่อ 26 มิถุนายน 2553 แก้ไขล่าสุดเมื่อ 11 กรกฎาคม 2553Aorsakhttp://www.blogger.com/profile/14386153354645555168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6539004750727168747.post-85123572116094118502009-05-25T18:56:00.000-07:002009-05-25T19:00:12.738-07:00อาหารเพื่อสุขภาพ สำหรับ ผู้สูงอายุ<span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารของวัยสูงอายุการที่อายุมากขึ้นจะมีผลกระทบต่อภาวะร่างกายและจิตใจ ทั้งยังส่งผลต่อสภาวะโภชนาการด้วย ในด้านร่างกาย อวัยวะภายในอย่างระบบย่อยอาหารและระบบดูดซึมจะทำงานได้น้อยลง ระบบขับถ่ายก็อาจไม่ค่อยปกติไปด้วย </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">นักวิจัยพบว่าเมื่อคนเราอายุเกิน 50 ปี ร่างกายจะต้องการสารอาหารบางอย่างเป็นพิเศษ นอกเหนือจากพลังงานจากอาหารที่กินเข้าไปเป็นปกติ สารอาหารเหล่านั้น ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี 12 วิตามินซี วิตามินดี กรดโฟลิก แคลเซียม โปรตีน ธาตุเหล็ก สังกะสี และอื่น ๆ ในวัยนี้หากใส่ใจสุขภาพไม่เพียงพอ อาจมีโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ตามมาให้ได้ท้อใจเป็นระยะ เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน กระดูกพรุน ข้อเสื่อม ต้อ และโรคมะเร็ง แต่ถ้าดูแลสุขภาพได้ดี เลือกกินอาหารทีเหมาะสม ประกอบกับออกกำลังอย่างสมดุล ก็จะช่วยให้ชีวิตมีความสุขได้ อาหารที่ควรกินในวัยนี้ มีดังต่อไปนี้</span><br /><span style="font-family:arial;"><br /><span style="color:#cc33cc;">อาหารพวกคาร์โบไฮเดรต ผู้สูงอายุควรกินคาร์โบไฮเดรตประเภทที่ไม่ขัดสี เพราะมีกากใยสูง เช่น ข้าวซ้อมมือ ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชต่าง ๆ อาหารพวกนี้จะให้ทั้งกากใย และวิตามินบี ซึ่งช่วยลดอาการท้องผูกได้ ควรเลี่ยงอาหารคาร์โบไฮเดรต พวกขนมหวาน เค้ก หรือคุกกี้ เพราะจะทำให้ไขมันในเลือดสูง</span><br /><span style="color:#cc33cc;"></span><br /><span style="color:#cc33cc;">อาหารโปรตีน สำหรับวัยนี้ถ้าเป็นโปรตีนจากสัตว์ ก็ควรเป็นเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย เช่น ปลาต่าง ๆ ถ้าเป็นเนื้อสัตว์ใหญ่ควรต้มให้เปื่อยเพื่อช่วยให้เคี้ยวและย่อยง่าย นอกจากนี้ยังมีโปรตีนจากอาหารอื่นอีกที่ควรได้รับเพิ่มเติม เช่น เต้าหู้ ไข่ นม ถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ</span><br /><span style="color:#cc33cc;"></span><br /><span style="color:#cc33cc;">อาหารที่มีแคลเซียม พบว่าผู้สูงอายุต้องการแคลเซียมมากขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ เพื่อป้องกันกระดูกพรุน และรักษาเนื้อกระดูก ไม่ว่าหญิงหรือชายที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,200 มก. (นมขนาด 240 มล. มีแคลเซียมประมาณ 300 มก.) </span></span><br /></span><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">ดังนั้นผู้สูงอายุที่ดื่มนมได้ ก็ควรดื่มนมร่วมกับอาหารที่มีแคลเซียมอื่น ๆ อีก เช่น โยเกิร์ต ปลาเล็กปลาน้อย (ถ้าเคี้ยวลำบากให้นำไปป่น) กุ้งแห้งป่น ถั่วเมล็ดแห้ง งา คะน้า กวางตุ้ง บรอกโคลี แต่หากผู้สูงอายุท่านใดมีปัญหาเรื่องการกินอาหารเหล่านี้ อาจต้องได้รับแคลเซียมเสริม ซึ่งควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมออาหารที่มีธาตุเหล็ก ผู้สูงอายุมักมีปัญหาโรคโลหิตจางเนื่องจากขาดธาตุเหล็ก จึงควรกินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ๆ เช่น เนื้อสัตว์ ธัญพืช ถั่วต่าง ๆ ผักใบเขียว และควรกินอาหารที่มีวิตามินซีควบคู่ไปด้วย เพราะวิตามินซีจะช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">ผู้สูงอายุที่ขาดธาตุเหล็กจะมีอาการอ่อนเพลียและมีภูมิต้านทานลดลงอาหารที่มีวิตามินเอ จะช่วยให้ผู้สูงอายุมองเห็นในที่มืดได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณดูผ่อนใสขึ้นด้วย อาหารที่มีวิตามินเอ เช่น ฟักทอง แคร์รอต มะละกอ ตำลึง เป็นต้นอาหารที่มีวิตามินบี 12 จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีอารมณ์มั่นคงขึ้น มีสมาธิมากขึ้น ช่วยในเรื่องความจำ บำรุงประสาทและสมอง การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้เกิดโรคโลหิตจาง จิตใจ หดหู่ กล้ามเนื้อสั่น อาหารที่มีวิตามินบี 12 เช่น เนื้อสัตว์ ตับ ไต ไข่ นม ปลาทุกชนิด</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีกรดโฟลิก จะช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าในผู้สูงอายุ และยังทำให้กระดูกแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้ พบในถั่วลิสง ปวยเล้ง บรอกโคลี ผักกาดหอม อะโวกาโด</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีวิตามินซี เช่น ผักผลไม้สดทุกชนิด จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวพรรณสดใส และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดคอเลสเตอรอล ซ่อมแซมกระดูก หากเกิดการร้าวหรือบิ่น</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีวิตามินดี จะช่วยให้การดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น จึงทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น วิตามินดีพบมากในไข่ไก่ ปลาทูน่าสด ปลาแมกเคอเรล ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน นอกจากนี้การรับแสงแดดในตอนเช้า ๆ วันละประมาณครึ่งชั่วโมง 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยให้ร่างกายกระตุ้นการสร้างวิตามินดีอีกด้วย</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีธาตุทองแดง นักวิจัยพบว่าปริมาณทองแดงในเลือดมีความสัมพันธ์กับความหนาแน่นของมวลกระดูก และการขาดธาตุทองแดงเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ภาวะกระดูกพรุนแย่ลงไปอีก </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีธาตุทองแดง เช่น เห็ด ลูกพรุน หอยนางรม ปลาซาร์ดีน ปู กุ้งมังกรอาหารที่มีแมกนีเซียม </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">ผู้สูงอายุโดยเฉพาะผู้หญิงมักขาดธาตุแมกนีเซียม จึงทำให้กล้ามเนื้อเป็นตะคริวและอ่อนเพลีย แมกนีเซียมมีในเมล็ดทานตะวัน รำข้าว เนยถั่ว ฟักทองอาหารที่มีธาตุโบรอน จะช่วยป้องกันการเกิดกระดูกพรุน ธาตุโบรอนพบมากในองุ่น แอปเปิล ถั่วแระ ถั่วพู ถั่วลิสง น้ำผึ้ง</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีธาตุแมงกานีส การขาดธาตุแมงกานีสจะทำให้กระดูกแตกหักหรือร้าวได้ง่าย อาหารที่มีแมงกานีส เช่น ถั่วเหลือง เมล็ดอัลมอนด์ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ สับปะรด น้ำชา</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีธาตุซิลิคอน จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผนังหลอดเลือดผิวหนัง และยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจอีกด้วย ธาตุซิลิคอนพบในหอมหัวใหญ่ ข้าวโอ๊ต ข้าวซ้อมมือ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง หัวบีตรูต</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีธาตุสังกะสี จะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันและป้องกันภาวะตาบอดในผู้สูงอายุ พบมากในหอยนางรม จมูกข้าวสาลี เมล็ดฟักทอง เนื้อซี่โครงหมู</span>Aorsakhttp://www.blogger.com/profile/14386153354645555168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6539004750727168747.post-84628552942640288582009-05-25T18:48:00.000-07:002009-05-25T18:55:23.055-07:00อาหารเพื่อสุขภาพ สำหรับ หนุ่มสาว วัยทำงาน<span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารสำหรับหนุ่มสาวทำงานในวัยทำงานจะเป็นวันที่มีความสนุกสนาน มีความแปลกใหม่ในชีวิต เริ่มเห็นโลกกว้างที่ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความเครียดทั้งแบบที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ในหัวข้อนี้เราจึงมีอาหารที่จะช่วยปรับปรุงอารมณ์คนทำงาน อาหารต้านโรคและอาหารอื่น ๆ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความสุขในการทำงานได้อย่างสูงสุด</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารคลายเครียดเมื่อใดก็ตามที่เรามีความเครียด </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"> ร่างกายจะดึงพลังงานออกมาใช้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง เราจึงต้องกินอาหารต่อไปนี้เพื่อช่วยให้ร่างกายกลับคืนสู่สมดุลอาหารพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต เนื่องจากแป้งจะช่วยให้สมองหลั่งสารเซโรโทนิน ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ผ่อนคลายสบายใจ</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีวิตามินบี 1 เช่น มันฝรั่งต้ม ส้ม ไข่แดง เนื้อหมูติดซี่โครง ขนมปังขาว </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารพวกนี้จะทำให้ใจสงบ มีสมธิมากขึ้นอาหารที่มีวิตามินบี 3 เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู ไข่ไก่ จมูกข้าวสาลี ขนมปังโฮลวีต อาหารเหล่านี้จะช่วยลดความกังวลใจ ช่วยให้กล้ามเนื้อและประสาทคลายตัว</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีวิตามินบี 6 เช่น กล้วยหอม กะหล่ำปลี มะม่วง จมูกหรือรำข้าวสาลี ไก่งวง เนื้อวัว ตับวัว อาหารในกลุ่มนี้จะช่วยลดความหงุดหงิดอาหารที่มีวิตามินซีสูง จะทำให้จิตใจสดชื่น กระชุ่มกระชวย เช่น ฝรั่ง ส้ม สตรอว์เบอร์รี่ สับปะรด มะนาว</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีแคลเซียมสูง จะช่วยบำรุงระบบประสาท เช่น นมสด โยเกิร์ต เต้าหู้ กุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อย ผักโขม คะน้า</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีแมกนีเซียม จะช่วยลดความกังวล หดหู่ เช่น งา ถั่วลิสง ข้าวโพด ผลิตภัณฑ์จากนม เมล็ดมะม่วงหิมพานต์อาหารที่มีแมงกานีส เช่น ถั่วและธัญพืชต่าง ๆ สาหร่าย สับปะรด </span><br /><br /><span style="font-family:arial;"><span style="color:#cc33cc;"><strong>สมูทตีสูตรน้ำผัก</strong> </span></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">– ผลไม้ต่อไปนี้เป็นสูตรสมูทตีหรือน้ำผัก – ผลไม้ที่ช่วยกำจัดความเครียด ซึ่งสามารถหาและทำเองได้ง่าย</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">สูตร 1 </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"> คั้นน้ำผักกาดหอม 175 กรัม ผสมกับน้ำแอปเปิล 1 ผลกลาง เติมน้ำแข็งเล็กน้อย ดื่มทันที สูตรนี้จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">สูตร 2 </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">ใช้มะเขือเทศผลใหญ่ 1 ผล พริกหวานแดง 100 กรัม แกะเมล็ดออก และมะละกอสุก 125 กรัม คั้นน้ำผสมกัน เติมน้ำแข็งเล็กน้อย แล้วดื่ม </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">สูตรนี้จะช่วยให้กระชุ่มกระชวย ควรคิดแจ่มใสสูตร 3 ใช้องุ่นเขียว 200 กรัม ผักกาดหอม 200 กรัม ขิงหั่น 2.5 ซม. (สับหยาบ ๆ) นำมาคั้นเอาแต่น้ำ เติมน้ำแข็งเล็กน้อยพอเย็น แล้วดื่ม สูตรนี้จะช่วยลดความกดดัน</span><br /><br /><strong><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">เมนูหลับสบาย</span></strong><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารนอนไม่หลับเป็นอาหารต่อเนื่องมาจากความเครียด การนอนไม่หลับบ่อย ๆ ทำให้สุขภาพจิตแย่ลง และยังมีผลกระทบถึงสุขภาพทางกายอื่น ๆ อีกด้วย วิธีที่จะช่วยให้หลับสบายขึ้น เช่นดื่มนมอุ่น ๆ พร้อมกล้วยหอม 1 ผล ก่อนเข้านอนชงชาคาโมมายล์สัก 2 ช้อนชา ดื่มในช่วงเย็นใช้ดอกไม้จีนชนิดแห้ง 15 กรัม ต้มในน้ำประมาณ 1 ถ้วยตวง แล้วเติมน้ำตาลกรวดปริมาณเล็กน้อย ดื่มก่อนเข้านอน จะทำให้หลับดีขึ้น</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">ปั่นกล้วยหอม 1 ผลเล็กรวมกับน้ำส้มคั้นสด ๆ 200 มล. และเมล็กทานตะวัน 25 กรัม เติมน้ำแข็งเล็กน้อย ดื่มในช่วงเย็น หรือก่อนนอน จะช่วยให้หลับสบาย เนื่องจากกล้วยหอมและเมล็ดทานตะวันจะมีกรดอะมิโนทริปโทแฟนอยู่มาก และสารนี้จะเปลี่ยนเป็นเซโรโทนินที่มีฤทธิ์เป็นยานอนหลับเตรียมนมถั่วเหลือง 200 มล. ผลกีวี 2 ผล สตรอว์เบอร์รีสด 100 กรัม และอัลมอนด์ฝานบางอบกรอบ 25 กรัม ปั่นรวมกับน้ำแข็ง 2 – 3 ก้อน ดื่มทันที </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"> สูตรนี้ให้ผลดีมากสำหรับคนที่นอนไม่หลับ เพราะความเครียดรุมเร้า เนื่องจากนมถั่วเหลืองและเมล็ดอัลมอนด์จะมีฤทธิ์ทำให้หลับง่าย ส่วนแมกนีเซียมและวิตามินซีในผลไม้อีก 2 อย่าง จะช่วยบำรุงต่อมหมวกไต และกระตุ้นภูมิคุ้มกัน</span><br /><br /><span style="font-family:arial;"><span style="color:#cc33cc;"><strong>อาหารต้านไมเกรนอาการปวดศีรษะข้างเดียวหรือปวดไมเกรน</strong> </span></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"> จะพบได้บ่อยในคนวัยทำงาน สาเหตุของไมเกรนอาจเกิดจากความเครียด การแพ้อาหารบางชนิด ฮอร์โมนหรือการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ผู้ที่เป็นไมเกรนสามารถใช้อาหารช่วยบรรเทาหรือป้องกันได้ดังนี้อาหารที่มีวิตามินบี 3 เช่น เนื้อไก่ ไข่ไก่ ไก่งวง เนื้อหมูและวัว จมูกข้าวสาลีอาหารที่มีแมกนีเซียม เช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน เนยถั่ว ผงโกโก้อาหารที่มีกรดไขมันโอเมกา – 3 เช่น ปลาทู ปลาทูน่า ปลาแซลมอนอาหารที่ควรงดเพราะจะไปกระตุ้นการเกิดไมเกรน เช่น ของหมักดอง เนื้อสัตว์ผ่านกระบวนการ เบียร์ ไวน์แดง เนยแข็ง หอมหัวใหญ่ ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว มะเขือเทศ รวมทั้งเครื่องดื่มกาเฟอีนอาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">ในวัยทำงาน เรามักจะสนุกและเพลิดเพลินกับการงานและกิจกรรมมากมาย จนบางครั้งลืมไปว่าเราได้ใช้ร่างกายไปมากมายเพียงใด ในวัยนี้หากไม่ดูแลสุขภาพให้ดี อาจเป็นจุดก่อเกิดของโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์จากอนุมูลอิสระ และจากภูมิคุ้มกันที่ต่ำลงโดยที่เราอาจไม่รู้ตัว แต่อาการต่าง ๆ จะไปปรากฏเมื่อผ่านเข้าสู่วัยกลายคน บางรายอาจเรื้อรังไปจึงถึงวัยสูงอายุ ซึ่งทุกคนคงไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับตัวเอง </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">ดังนั้น เราควรจะเริ่มต้นดูแลตัวเองด้วยอาหารเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อไปนี้มะเขือเทศ เป็นอาหารที่มีวิตามินซีสูง และยังมีสารไลโคปีนที่ช่วยป้องกันมะเร็ง นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังพบสารฟลาโวนอยด์เกอร์เซติน และแกมป์เฟอรอล ซึ่งต้านการเติบโตของเซลล์มะเร็งอีกด้วย </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"> นักวิจัยสรุปว่า การกินมะเขือเทศอยู่เสมอจะลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลายชนิดบรอกโคลี มีวิตามินสูง ซึ่งฤทธิ์ต้านโรคหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีสารซัลฟอราเฟนที่ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ล้างพิษ ซึ่งเอนไซม์เหล่านี้จะไปทำลายสารก่อนมะเร็งพวกคาร์ซิโนเจน สารอีกตัวหนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยก็คืออินโอล – 3 – คาร์บินอล ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการเติบโตของมะเร็งเต้านมที่เกิดจากปฏิกิริยาของเอสโตรเจน </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"> สารตัวนี้นอกจากจะพบในบรอกโคลีแล้ว ยังพบในพืชตระกูลกะหล่ำอื่น ๆ อีก เช่น กระหล่ำปลี กะหล่ำดอก กวางตุ้ง คะน้า แขนงกะหล่ำ และผักสลัดต่าง ๆแครอท มีสารแคโรทีนอยด์เป็นจำนวนมาก ร่างกายจะเปลี่ยนสารนี้ให้กลายเป็นวิตามินเอที่มีฤทธิ์ลดความรุนแรงของโรคติดเชื้อ นอกจากนี้ วิตามินเอยังช่วยกระตุ้นแอนติบอดีให้ทำงานได้ดีขึ้น และยืดอายุเซลล์เม็ดเลือดขาวอีกด้วย </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">นักวิจัยพบว่าคนที่มีระดับเบตาแคโรทีนในเลือดสูง ๆ จะไม่ค่อยเป็นโรคหัวใจและมะเร็ง พืชผักชนิดอื่นที่มีแคโรทีนอยด์มาก เช่น มะละกอสุก ฟักทอง มะม่วงสุก การกินแคร์รอตให้ได้ประโยชน์มากที่สุดต้องทำให้สุก เพราะแคร์รอตสุกจะให้แคโรทีนมากกว่าแคร์รอตดิบถึง 5 เท่าถั่วเมล็ดแห้ง มีไอโซฟลาโวนมาก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านม หากเป็นไปได้ควรกินถั่ววันละ 1/2 ถ้วยน้ำมันมะกอก ประกอบด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวจำนวนมาก ซึ่งจะไม่ค่อยเปลี่ยนรูปเป็นสารประกอบที่ทำให้เกิดมะเร็ง </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">นอกจากนี้ น้ำมันมะกอกยังมีโพลีฟีนอลที่จะเปลี่ยนสารอันตรายในร่างกายไปเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำ เพื่อให้ถูกขับออกทางปัสสาวะและเหงื่อ น้ำมันมะกอกชนิด Extra Virgin มีโพลีฟีนอลสูงสุด จึงมีประโยชน์กับสุขภาพมากที่สุดบลูเบอร์รี มีแอนโทไซยานิน ที่มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันและยังมีสารแทนนินที่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อของแบคทีเรียอี.โคไลในระบบทางเดินปัสสาวะ </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">ในเมืองไทยจะหาบลูเบอร์รี่ได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ ๆ ซึ่งมีการนำเข้ามามากในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ จากการวิจัยพบว่า การกินบลูเบอร์รีสดวันละ 125 กรัม จะทำให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเกือบ 2 เท่าของปริมาณที่ควรได้รับเฉลี่ยในแต่ละวันผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว หรือผลไม้อุดมวิตามินซี เช่น มะนาว สับปะรด ผลไม้รสเปรี้ยวเหล่านี้จะมีกรดแอสคอร์บิกที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน บำรุงเยื่อบุและคอลลาเจน ช่วยขจัดสารพิษ ลดความเครียด และเป็นสาระสำคัญในการผลิตฮอร์โมน ป้องกันหวัด ผู้ที่มีระดับวิตามินซีในเลือดสูงจะลดอันตรายเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลอดลม ช่องปาก ตับอ่อน และกระเพาะอาหาร ลงได้กระเทียม </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">พบว่าสารที่ทำให้เกิดกลิ่นแรงในกระเทียมจะช่วยต้างการก่อตัวของคาร์ซิโนเจนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ไม่ให้ไปทำลายดีเอ็นเอ เพื่อสุขภาพที่ดี ควรกินกระเทียมประมาณ 5 – 8 กรัม สัปดาห์ละครั้ง การกินกระเทียมสดหรือสุกน้อยจดีต่อสุขภาพมากกว่าปลาทะเล จะมีกรดไขมันโอเมกา – 3 ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และอาจป้องกันมะเร็งได้โดยไปกดการเติบโตของเซลล์มะเร็ง ปลาที่มีกรดไขมันโอเมกา – 3 มาก เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน ปลาแมกเคอเรล ปลาทู ปลาทูน่าโยเกิร์ต เป็นผลิตภัณฑ์จากนมที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">นักวิจัยพบว่าแบคทีเรียบางชนิดในโยเกิร์ตสามารถสร้างกรดเพื่อฆ่าแบคทีเรียที่ทำให้เกิดบาดทะยัก หรืออาหารเป็นพิษได้เห็ด มีสารเลนติแนน ซึ่งเป็นโมเลกุลของน้ำตาลที่ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้</span>Aorsakhttp://www.blogger.com/profile/14386153354645555168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6539004750727168747.post-65345054034067025102009-05-25T18:39:00.000-07:002009-05-25T18:47:59.753-07:00อาหารเพื่อสุขภาพ สำหรับ วัยรุ่น<span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารสำหรับวัยรุ่นวัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องการพลังงานจากอาหารมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นวัยที่ร่างกายกำลังมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งส่วนใหญ่มีผลมาจากฮอร์โมน เด็กผู้ชายจะมีกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น ในเด็กผู้หญิงก็เป็นช่วงวัยที่เริ่มมีประจำเดือนหรือมีสิวเกิดขึ้น ดังนั้นในวัยนี้นอกจากการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างถูกต้องแล้ว ยังอาจต้องดูแลอาหารบางอย่างเป็นพิเศษ เพื่อช่วยส่งเสริมหรือแก้ปัญหาสภาวะที่เปลี่ยนไปของร่างกาย</span><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"><strong>เมนูสู่ผิวใสสำหรับวัยรุ่นที่เป็นสิว</strong> </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">วิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดจากอาหารที่กินเข้าไป สามารถช่วยให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายสมดุลขึ้นได้วิตามินเอ เป็นวิตามินที่มีความสำคัญกับผิวพรรณมาก และยังช่วยลดการผลิตน้ำมันหรือซีบัมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมด้วย </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">วิตามินเอมีมากในแคร์รอต ฟักทอง มะละกอ ตำลึง มะม่วงสุก กล้วย มันเทศวิตามินบี 6 เป็นวิตามินที่ช่วยให้ฮอร์โมนในร่างกายสมดุล และยังช่วยควบคุมการเกิดสิว รวมทั้งอาการเจ็บหน้าอกหรือหงุดหงิดก่อนมีประจำเดือนอีกด้วย วิตามินบี 6 พบมากในข้าวซ้อมมือ เนื้อ ตับ ไต อะโวกาโด เมล็ดทานตะวัน ปลาแซลมอล เป็นต้นอาหารที่มีธาตุสังกะสี จะช่วยลดการเกิดสิว และทำให้การดูดซึมวิตามินเอจากอาหารเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น ผิวพรรณจึงดูเนียมเรียบขึ้น ธาตุสังกะสีพบมากในข้าวซ้อมมือ อาหารที่มีส่วนประกอบของยีสต์ เช่น ขนมปัง ข้าวหมาก อาหารทะเล เนื้อสัตว์อาหารที่มีกรดไขมันโอเมกา 3 กรดไขมันชนิดนี้จะทำให้ต่อมไขมันบนใบหน้าผลิตน้ำมันได้น้อยลง จึงลดการอุดตันที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว โอเมกา – 3 พบมากในปลาทูน่า เซลมอน แมคเคอเรล ปลาทู เป็นต้นกินอาหารที่มีกากใยสูง เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น เช่น ผักผลไม้สดทุกชนิด</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"><strong>จานเด็ดสำหรับวันนั้นของเดือน</strong></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">วัยรุ่นหญิงที่เริ่มมีประจำเดือนควรกินอาหารที่มีธาตุเหล็กเพื่อชดเชยการสูญเสียเลือดในแต่ละเดือน เนื่องจากในวัยรุ่นประจำเดือนจะมาไม่สม่ำเสมอ บางเดือนอาจจะมาน้อยบางเดือนก็มามาก จากการวิจัยพบว่าผู้หญิงและผู้ชายมีความต้องการธาตุแหล็กไม่เท่ากัน เด็กผู้หญิงในวัยเริ่มต้นมีประจำเดือนไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน จะต้องการธาตุเหล็กมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า ถ้าเราได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ง่าย </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีธาตุเหล็ก ได้แก่ ตับ ไต เลือดหมู เนื้อสัตว์ ปลาซาร์ดีน ผักโขม ซี่โครงหมู เต้าเจี้ยวดำ บวบเหลี่ยม เป็นต้น และการช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กไปใช้ประโยชน์ได้ดี ควรกินพร้อมอาหารที่มีวิตามินซี เช่น น้ำผลไม้ น้ำผลไม้ที่จะช่วยดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี เช่น น้ำมะนาว รองลงมา ได้แก่ น้ำส้ม น้ำฝรั่ง และที่ช่วยดูดซึมได้ปานกลาง เช่น น้ำสับปะรด น้ำสตรอว์เบอร์รี</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">วัยรุ่นทุกคนเป็นวัยที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ธาตุอาหารที่สำคัญอย่างแคลเซียมจึงขาดไม่ได้ วัยรุ่นสามารถดื่มนมได้วันละ 2 – 3 แก้ว หรืออาจจะกินโยเกิร์ตได้อีกวันละ 1 ถ้วย เพื่อให้ได้รับแคลเซียม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างกระดูกและฟันอย่างเพียงพอ อาหารอื่น ๆ ที่อุดมด้วยแคลเซียม เช่น ปลาเล็กปลาน้อย เต้าหู้ ปลากระป๋อง กุ้งแห้ง กะปิ เป็นต้น </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">ผักใบเขียวที่มีแคลเซียมสูง เช่น มะขามฝักสด ยอดแค ยอดสะเดา และคะน้า ทั้งแคลเซียมและฟอสฟอรัส เป็นองค์ประกอบที่ช่วยให้กระดูดแข็งแรงและเจริญดีโดยปกติแล้วอาหารที่มีแคลเซียม ก็จะมีฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย</span><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"><strong>อาหารของวัยรุ่นนักกีฬา</strong></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">สำหรับวัยรุ่นนักกีฬานั้นอาจต้องการอาหารเสริมเพิ่มจากปกติเป็นพิเศษ อาหารที่มีสารอาหารต่อไปนี้จะช่วยให้ร่างกายมีพละกำลังและความแข็งแกร่งมากขึ้นอาหารที่มีวิตามินบี 1 เช่น ข้าวโอ๊ต ตับ ไต เนื้อวัว หมู ไก่ ปลา ถั่วต่าง ๆ รำข้าว อาหารที่มีวิตามินบี 1 จะช่วยให้กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว เช่น แขน ขา ทำงานได้ดีขึ้น </span><br /><span style="font-family:Arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">นอกจากนี้ยังช่วยในระบบการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้กลายเป็นพลังงานอีกด้วยอาหารที่มีวิตามินบี 2 เช่น ตับไก่ ถั่วเหลือง เห็ดฟาง ฟักทอง เนื้อวัว นมสด ไข่ไก่ วิตามินบี 2 จะช่วยในกระบวนการเปลี่ยนแป้งและน้ำตาลให้กลายเป็นพลังงานอาหารที่มีวิตามินบี 5 ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารพบว่านักกีฬาหรือผู้ออกกำลังกายมาก ควรได้รับอาหารที่มีวิตามินบี 5 มากเป็นพิเศษ เพราะวิตามินบี 5 จะทำให้ร่างกายให้ออกซิเจนน้อยลง และยังช่วยให้สมรรถภาพร่างกายดีขึ้นอีกด้วย </span><br /><span style="font-family:Arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีวิตามินบี 5 เช่น ถั่งลิสง เมล็ดงา วอลนัต อะโวกาโด แอพริคอตแห้ง แอปเปิล เป็นต้น</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีวิตามินซี จะช่วยให้กล้ามเนื้อหดและคลายตัวได้ดีขึ้น </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">วัยรุ่นนักกีฬาทั้งหลาย จึงควรกินผักผลไม้สดให้มาก เพราะอุดมด้วยเกลือแร่ และวิตามินอาหารที่มีแคลเซียม จะช่วยลดการเกิดตะคริว และทำให้กระดูกแข็งแรง </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีแคลเซียมมาก เช่น นมสด ผลิตภัณฑ์จากนม โยเกิร์ต งา ปลาซาร์ดีน ถั่วฝักเขียว เต้าหู้อาหารที่มีแมกนีเซียม จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่นดี ไม่อ่อนล้าหรือเป็นตะคริวได้ง่าย </span><br /><span style="font-family:Arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีแมกนีเซียมาก เช่น ผงโกโก้ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน เนยถั่วอาหารที่มีธาตุสังกะสี จะช่วยให้มีสมาธิและกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีธาตุสังกะสี เช่น หอยนางรม ตับลูกวัว เมล็ดฟักทอง เนื้อซี่โครงหมู ปลาซาร์ดีนในน้ำมัน</span><br /><span style="font-family:Arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีธาตุเหล็กและวิตามินบี 12 ธาตุอาหารทั้งสองชนิดนี้จะช่วยให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงได้ดี ทำให้ไม่เป็นโลหิตจาง นักกีฬาผู้หญิงต้องใส่ใจกับอาหารที่มีธาตุเหล็กและวิตามินบี 12 ให้มาก </span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า เนื้อปู </span><br /><span style="font-family:Arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">ส่วนอาหารที่มีวิตามินบี 12 เช่น ตับ ไข่ไก่ เป็ด เนื้อวัว เนื้อหมูอาหารที่มีโพแทสเซียม จะช่วยป้องกันการเกิดตะคริว อาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น ปวยเล้ง แรดิช พาร์สนิป วอเตอร์เครส เสาวรส มะละกอ พริกหวานแดง พีช มันฝรั่งบด</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"><strong>อาหารสมองสำหรับวัยรุ่นเรียนหนัก</strong></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">วัยรุ่นที่เรียนหนักควรได้รับอาหารที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพความจำและการมีสมาธิมากขึ้น อาหารเหล่านั้น ได้แก่</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีวิตามินบี 1 เช่น ไข่แดง มันฝรั่งต้ม ถั่นลันเตา ข้าวซ้อมมือ</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีวิตามินบี 12 เช่น ไข่ไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว เป็ดอาหารที่มีกรดโฟลิก เช่น ถั่วลิสง บรอกโคลี กระหล่ำดอก ผักกาดหอม ผักปวยเล้งอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ตับไก่ ตับหมู เนื้อสัตว์ต่าง ๆ</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีธาตุไอโอดีน เช่น อาหารทะเลอาหารที่มีธาตุแมงกานีส เช่น ถั่วเหลือง อัลมอนด์ มะคาเดเมีย เมล็ดมะม่วงหิมพานต์อาหารที่มีธาตุซิลิคอน เช่น ผลไม้ตระกูลส้ม ธัญพืชไม่ขัดขาว พืชกินหัวต่าง ๆ</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีธาตุสังกะสีและซีลีเนียม เช่น กระเทียม หอยนางรม หอยแมลงภู่อาหารที่มีเบตาแคโรทีน เช่น แครอท ผักโขม มะม่วงสุก กล้วยไข่ บรอกโคลี</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีโคเอนไซม์คิว 10 เช่น ถั่วเหลือง มันฝรั่ง และผักโขม อาหารที่มีกรดไขมันโอเมกา–3 เช่น ปลาทู ปลาทูน่า ปลาแซลมอน</span>Aorsakhttp://www.blogger.com/profile/14386153354645555168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6539004750727168747.post-73658524959804023942009-05-25T18:35:00.000-07:002009-05-25T18:39:25.542-07:00อาหารเพื่อสุขภาพ สำหรับเด็กวัย 0-12 เดือน<span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารเพื่อสุขภาพ สำหรับคนวัยต่าง ๆ</span><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารมีความสำคัญกับชีวิตคนเรามาก เพราะอาหารเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ ทั้งยังเป็นแหล่งสร้างพลังงาน ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต มีภูมิคุ้มกันโรค และทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ</span><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">ความต้องการอาหารและพลังงานของคนเราจะแตกต่างกันไปตามอายุและเพศ เช่น ในวัยเด็กร่างกายจะต้องการพลังงานมากที่สุด เพื่อนำไปใช้ในการสร้างกระดูก กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อต่าง ๆ เพื่อการเจริญเติบโตแต่ไม่ว่าจะอายุเท่าใด ร่ายกายก็ต้องการสารอาหารชนิดเดียวกัน แต่ปริมาณจะแตกต่างกันไปตามเพศ วัย และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำอยู่ในชีวิตประจำวัน ต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำสำหรับการกินอาหารที่เหมาะสมในแต่ละวัย</span><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารสำหรับเด็กสำหรับเด็กเล็ก ๆ ในช่วง 1 – 6 เดือน หรือต่ำกว่า 1 ปี อาหารหลักและอาหารที่ดีที่สุดก็คือนมแม่ แต่หลังจากนั้นในวัย 4 – 6 เดือน คุณแม่ควรให้อาหารเสริมอื่น ๆ กับลูกบ้าง เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้กลิ่นและรสชาติของอาหาร รวมทั้งฝึกการเคลื่อนไหวของปาก แต่หลังจาก 1 ปีไปแล้ว อาหารหลักก็คือข้าว ส่วนอาหารเสริมก็คือนมสำหรับเด็กเล็ก อาหารเสริมนอกเหนือจากนม ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย รสไม่จัดจ้าน เช่น ผผลไม้จำพวกกล้วย ผักต่าง ๆ เช่น ตำลึง ผักกาดขาว ฟักทอง กะหล่ำปลี ผักบุ้ง โดยนำมาตุ๋นใส่ข้าวทีละน้อย ส่วนผักที่มีกลิ่นรสฉุน หรือเป็นพวกเครื่องเทศยังไม่ควรนำมาตุ๋นใส่ข้าว เพราะเด็กจะไม่ชอบผักกลิ่นแรง เช่น ตังโอ๋ กุยช่าย ต้นหอม ผักชี ถ้าเป็นเด็กเล็กที่กินนมทุก 4 ชั่วโมง การให้อาหารผักควรให้ตอนบ่าย 2 โมง แต่ถ้าเป็นเด็กโตที่กินวันละ 3 มื้อ ควรให้อาหารผักตอนเที่ยงและควรให้แต่น้อย เพราะระบบการย่อยของเด็กอาจจะยังไม่ดีนัก ควรให้แค่ 2 – 3 ช้อนโต๊ะก็พอสุดยอดอาหารเสริมสำหรับเด็กอ่อนวัย 0 – 1 ขวบ</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">0 – 4 เดือน ควรให้กินนมแม่อย่างเดียว หลัง 4 เดือนแล้วจึงค่อยเพิ่มอาหารเสริมชนิดอื่น4 เดือนขึ้นไป ให้ข้าวบดละเอียดกับน้ำแกงจืดและตับบด หรือจะเป็นกล้วยน้ำหว้าสุกครูด 1 ผล แล้วเสริมด้วยนมแม่5 เดือน ให้เนื้อปลาเป็นอาหารเสริม โดยบดละเอียด 1 – 2 ช้อนโต๊ะ ผสมข้าวตุ๋น และน้ำซุป แล้วตามด้วยนม</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">6 เดือน ให้โปรตีนพวก ตับ หมู ไก่ เนื้อ ไข่แดง โดยบดหรือสับละเอียดแล้วตุ๋นผสมกับข้าวต้มเปื่อย ซึ่งอาจใส่ผักลงไปด้วย ให้กินวันละ 1 – 2 ช้อนโต๊ะ แล้วตามด้วยนมแม่</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">7 เดือน อวัยวะย่อยของเด็กวัยนี้เริ่มแข็งแรงขึ้น ดังนั้นสามารถให้กินอาหารเนื้อสัตว์ได้ทุกชนิด แต่ต้องต้มให้เปื่อยรวมกับผักใบเขียว จะใส่ไข่ก็ได้ โดยให้กินครั้งละประมาณ 1 – 2 ช้อนโต๊ะ</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">8 – 9 เดือน ให้เพิ่มอาหารแทนนมเป็น 2 มื้อ และให้ไข่ทั้งฟองได้ ให้นมวันละ 4 – 5 ครั้ง ครั้งละ 5 – 6 ออนซ์ น้ำส้มคั้นวันละประมาณ 4 ออนซ์ ผลไม้อื่นที่กินได้ เช่น มะละกอ ส้ม องุ่น</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อายุ 10 – 12 เดือน สามารถกินอาหารแทนนมได้ทั้ง 3 มื้อ ให้ไข่ได้ทั้งฟอง กินผักใบเขียว เช่น ตำลึง ผักกาดขาว ฟักทองหรือแคร์รอตสลับกัน หรือจะให้ผลไม้สุก 3 – 4 ชิ้นก็ได้เช่นกัน</span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;"></span><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">เมื่อเด็กย่างเข้าขวบปีที่ 2 จะสามารถกินอาหารได้เหมือนกับผู้ใหญ่ แต่ควรแยกอาหารเป็นมื้อย่อย ๆ สัก 5 – 6 มื้อ เด็กในวัยนี้ต้องการพลังงานมากเป็นพิเศษ เพื่อใช้ในการเจริญเติบโต ดังนั้น อาหารหลักของลูกวัยนี้ควรเป็นพวกคาร์โบไฮเดรต เนื้อสัตว์ ปลา ถั่ว นม (เด็กในวัยที่ต่ำกว่า 5 ขวบ ควรดื่มนมวันละประมาณ 600 มล.) ผัก ผลไม้ ซึ่งวิธีปรุงอาหารให้เด็กวัยนี้ควรเป็นการต้ม นึ่ง ย่าง หรือปิ้ง จะเหมาะกว่าการผัดหรือทอด</span>Aorsakhttp://www.blogger.com/profile/14386153354645555168noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-6539004750727168747.post-17229247354642631202009-05-25T18:30:00.000-07:002009-05-25T18:32:07.356-07:00กรดโฟลิก กับสมองลูก<span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">กรดโฟลิก เป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับแม่ตั้งครรภ์ หลาย ๆ คนไม่ค่อยคุ้นหู แต่แม่ตั้งครรภ์ในประเทศทางตะวันตกรู้จักกันดี เพราะมีสถิตการขาดสารนี้กันมากทีเดียว ส่งผลให้เด็กทารกที่คลอดออกมาพิการทางสมอง ถึงกับมีการรณรงค์ให้แม่ตั้งครรภ์ได้รับกรดโฟลิกให้เพียงพอตั้งแต่ก่อนหน้าตั้งครรภ์ และในช่วงต้นของการตั้งครรภ์ </span><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">กรดโฟลิกเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่ง มีอยู่ในผักใบเขียวทั่วไป โชคดีที่อาหารการกินบ้านเราเป็นประเภท น้ำพริกผักจิ้ม และเรามีผักสดรับประทานตลอดปี จึงไม่ค่อยมีการขาดกรดโฟลิกแต่อย่างไร คุณแม่ทั้งหลายก็ควรมีความรู้เรื่องนี้ไว้บ้าง เพื่อการดูแลครรภ์ให้สมบูรณ์ที่สุด </span><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">กรดโฟลิกสำคัญอย่างไร </span><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">กรดโฟลิกมีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์ใหม่ ๆ ช่วยให้โครงสร้างสมองสมบูรณ์ ช่วยในการดูดซึมน้ำตาลและโปรตีน และเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด<br />กรดโฟลิก มีความสำคัญต่อการตั้งครรภ์ ตั้งแต่เริ่มมีการปฏิสนธิเลยทีเดียว ขณะที่เซลล์แบ่งตัวเป็นสอง กรดโฟลิกจะช่วยให้การแบ่งตัวของเซลล์เป็นไปอย่างสมบูรณ์ และช่วยในการจัดสร้างโครงสร้างของสมองทารกให้สมบูรณ์ด้วย ถ้าแม่ขาดกรดโฟลิกในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกหลังปฏิสนธิ (ช่วงที่แม่เริ่มสังเกตว่าเมนส์ขาด) จะทำให้สมองทารกซึ่งกำลังจัดตัวเป็นหลอด เหมือนหลอดกาแฟเกิดเสียหายบกพร่อง ทำให้ทารกที่เกิดมามีสมองพิการ (NTDs-Neural Tube Defects) เช่น เป็นโรคสมองเปิด (spina bifida) คือ เกิดช่องโหว่ที่ปลายสมอง เพราะหลอดสมองสร้างตัวไม่สมบูรณ์ ทำให้เดินไม่ได้ ควบคุมระบบขับถ่ายไม่ได้ คล้ายกับอาการของคนเป็นดาวน์ซินโดรม หรืออาจเป็นโรคปากแหว่ง เพดานโหว่ หรือมีความพิการที่แขนขา หัวใจ ปอด กระดูก </span><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">ภาวะที่ร่างกายแม่ขาดกรดโฟลิก ยังเป็นกรรมพันธุ์ด้วย ถ้าปู่ย่าตายายเคยมีลูกพิการทางสมองแบบ NTDs ลูกหลานมีสิทธิ์เป็นด้วย หรือลูกคนแรกเป็น คนต่อมามีสิทธิ์ที่จะเป็นด้วย ได้มากทีเดียว ในกรณีนี้จำเป็นจะต้องได้รับกรดโฟลิกก่อนตั้งครรภ์ ในปริมาณที่มากกว่าแม่ทั่ว ๆ ไป<br />การรับประทานกรดโฟลิกตั้งแต่ยังไม่ตั้งครรภ์ ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรค NTDs ได้ถึง 75 เปอร์เซ็นต์ มีการค้นพบว่า กรดโฟลิกอาจช่วยป้องกันการตั้งครรภ์เป็นพิษด้วย </span><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">กินอย่างไรถึงได้กรดโฟลิกเพียงพอ </span><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อย่างที่บอกแล้วว่า กรดโฟลิกมีความสำคัญต่อลูก ตั้งแต่เริ่มมีการปฏิสนธิ ดังนั้นแม่ควรจะได้รับกรดโฟลิกให้เพียงพอก่อนหน้าตั้งครรภ์ เริ่มตั้งแต่เมื่อคิดวางแผนจะมีลูก หรือก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือน และรับประทานติดต่อไปถึงหลังตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือน จะรับประทานเรื่อยไปตลอดระยะตั้งครรภ์ก็ได้<br />ปริมาณที่แม่ตั้งครรภ์ได้รับคือ วันละ 0.4 มิลลิกรัม หรือราว 1 ใน 6 ส่วนของอาหารที่รับประทานในแต่ละวันก็พอ ในต่างประเทศมีการจัดกรดโฟลิกในรูปของยาเม็ดให้แม่ตั้งครรภ์รับประทาน กรดโฟลิก ที่แพทย์ให้นี้ได้รับการยืนยันแล้วว่า ไม่ส่งผลข้างเคียงอย่างใด และไม่มีการสะสมในร่างกาย จึงรับประทานติดต่อเป็นเวลานานได้ ร่างกายจะกำจัดส่วนเกินไปเองโดยธรรมชาติ </span><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">แม่ไทย ๆ อย่างเราไม่ต้องกังวลกับเรื่องกรดโฟลิกให้มากนัก อาหารการกินของเราอุดมไปด้วยผักไม่เหมือนประเทศตะวันตกที่มีฤดูหนาวยาวนาน หาผักใบเขียวกินยาก แต่ก็อย่าประมาท กินผักใบเขียวให้มากไว้ก่อน ไม่ใช่ได้กรดโฟลิกอย่างเดียว ได้คุณค่าอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งคุณแม่คงทราบกันดีแล้วล่ะค่ะ </span><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">อาหารที่มีกรดโฟลิกมาก</span><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">ผักใบเขียว เช่น ผักโขม บล็อกโคลี่ เห็ด ตับ ถั่วที่มีสีเขียว มันฝรั่ง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลมีล ส้ม ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง ตับ นม ไข่ โยเกิร์ต<br />ผักควรกินผักสด ๆ หรือลวกเร็ว ๆ ความร้อนจะทำลายกรดโฟลิกในผักใบเขียว ตับมีกรดโฟลิกมาก เพราะมีวิตามินเอสูง อาจทำให้พิการเมื่อแรกเกิด (ผู้ที่รับประทานวิตามินเอ เพื่อรักษาโรคตาหรือโรคผิวหนังควรระวัง)</span>Aorsakhttp://www.blogger.com/profile/14386153354645555168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6539004750727168747.post-31211790412756716232009-05-25T18:22:00.000-07:002009-05-25T18:25:01.094-07:00กรดโฟลิกช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจในเด็กทารก<span style="font-family:arial;color:#cc33cc;">กรดโฟลิกช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจในเด็กทารก<br /><br />รายงานข่าวจากเมืองออตตาวา ประเทศแคนาดา เปิดเผยว่า การให้หญิงมีครรภ์ได้รับประทานขนมปัง หรืออาหารจำพวกแป้งอื่นๆ ที่เสริมกรดโฟลิก จะช่วยให้ทารกที่คลอดออกมามีความเสี่ยงน้อยลงที่จะป่วยเป็นโรคหัวใจ<br />กรณีดังกล่าวได้รับการพิสูจน์ให้เห็นจริงในแคนาดา เพราะหลังจากแคนาดาเดินหน้าให้เสริมกรดโฟลิกลงในแป้งและพาสตา ตั้งแต่ปี 2541 ก็ส่งผลให้รัฐควิเบกในแคนาดา มีตัวเลขทารกที่ป่วยเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดลดลงอย่างเห็นได้ชัด<br />กรดโฟลิกรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า วิตามินบี 9 และโฟเลต พบได้ในอาหารหลายชนิด ทั้งตับและผักใบเขียว หญิงมีครรภ์รวมถึงผู้ที่อยากจะตั้งครรภ์มักได้รับคำแนะนำให้รับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจำพวกกรดโฟลิก เพื่อลดความเสี่ยงที่ทารกจะเกิดความผิดปกติของกระดูกสันหลัง ขณะที่ผลการศึกษาล่าสุดในแคนาดา พบว่ากรดโฟลิกยังช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจในทารกได้เช่นกัน<br />แต่โฆษกมูลนิธิโรคหัวใจในอังกฤษแนะนำให้คำนึงถึงผลดีผลเสียอย่างรอบคอบ ก่อนที่อังกฤษจะเดินหน้านโยบายเติมกรดโฟลิกลงในอาหารจำพวกแป้งทั้งหมด เพราะการได้รับกรดโฟลิกมากเกินไป อาจก่อให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 ในกลุ่มคนสูงอายุ<br />ด้านนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิจัยอาหารก็แนะให้เติมกรดโฟลิกลงในอาหารบางประเภทเท่านั้น และติดฉลากอย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือก เพราะถ้าภาครัฐมีคำสั่งให้อาหารจำพวกแป้งทั้งหมดต้องเติมกรดโฟลิกอาจส่งผลให้คนบางกลุ่มได้รับกรดโฟลิกมากเกินความจำเป็น<br />ที่มาของข้อมูล : สำนักข่าวไทย ประจำวันที่ 13 พฤษภาคม 2552</span>Aorsakhttp://www.blogger.com/profile/14386153354645555168noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-6539004750727168747.post-34675482859184490252009-05-12T03:02:00.000-07:002009-05-16T03:26:41.847-07:00ท้องนอกมดลูก (ECTOPIC PRECNANCY)<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh8zE6vBmZz10HlaDTTp4D5uOZTWGjKEV3_QMBjh5X16DTxRsx1h5yE-jFVo2L-vDRh6EaG2zvbv8vtYrNxzgCufnIFLFwZ2Bc70HNa_SDfUlgddZ6ILy7yK2SCQy9j4db0jNX3o5PCx5M/s1600-h/untitled10.bmp"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5336366264076164018" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 250px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh8zE6vBmZz10HlaDTTp4D5uOZTWGjKEV3_QMBjh5X16DTxRsx1h5yE-jFVo2L-vDRh6EaG2zvbv8vtYrNxzgCufnIFLFwZ2Bc70HNa_SDfUlgddZ6ILy7yK2SCQy9j4db0jNX3o5PCx5M/s400/untitled10.bmp" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><span style="color:#cc33cc;"><strong>ท้องนอกมดลูก (ECTOPIC PREGNANCY)</strong><br />คือการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นภายนอกโพรงมดลูก มักพบว่าเกิดขึ้นได้บ่อยที่บริเวณท่อนำไข่ข้างใดข้างหนึ่ง อาจพบได้ใน บริเวณอื่นๆ ที่พบรองลงมา คือ ที่รังไข่ หรือที่อยู่นอกระบบสืบพันธุ์ เช่นในช่องท้องหรือ ที่บริเวณปากมดลูกเป็นต้น<br /></span></span><span style="font-family:arial;"><span style="color:#cc33cc;"><strong>สาเหตุ<br /></strong>ไข่ที่ตกจากรังไข่ได้รับการปฏิสนธิและเกิดการฝังตัวขึ้นภายนอกโพรงมดลูก โดยส่วนมากพบที่ท่อนำไข่ เมื่อตัวอ่อนมีการเจริญเติบโตและมีขนาดใหญ่ขึ้น ท่อนำไข่ไม่สามารถขยายตามได้ จึงทำให้ท่อนำไข่แตกออก มีการตกเลือดในช่องท้อง ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตได้<br /><strong>ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเมื่อ</strong><br />มีการใช้ห่วงอนามัยเพื่อคุมกำเนิด ซึ่งเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน<br />เคยมีการติดเชื้อในช่องท้องหรือในอุ้งเชิงกรานมาก่อน<br />มีพังผืดเกิดขึ้นจากการที่เคยได้รับการผ่าตัดในอดีต<br />เคยท้องนอกมดลูกมาก่อน<br />เคยได้รับการผ่าตัดเกี่ยวกับท่อนำไข่หรือมดลูก<br />มีประวัติว่าเป็น endometriosis<br />มีความผิดปกติของมดลูก<br />การวิจฉัยอาการและอาการแสดงที่พบบ่อยในระยะเริ่มแรก<br />ประจำเดือนขาดหาย<br />มีเลือดออกกะปริดกะปรอย หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดที่หาสาเหตุไม่ได้<br />มีอาการปวดบริเวณท้องน้อย<br />ในระยะที่มีภาวะแทรกซ้อน<br />ปวดท้องรุนแรงอย่างฉับพลัน ที่มีสาเหตุมาจากมีการแตกออกของท่อนำไข่<br />เวียนศีรษะ เป็นลมหมดสติ และ ช็อค ( ซีด หัวใจเต้นเร็ว ความดันเลือดตก เหงื่อออก ตัวเย็น ) ซึ่งอาจเกิดขึ้นก่อนหรือเกิดตามหลังอาการปวดก็ได้<br /><strong>การคาดหวังผลการรักษา</strong><br />การตั้งครรภ์นอกมดลูกไม่สามารถดำเนินไปได้จนกระทั่งครบกำหนด หรือได้ทารกที่มีชีวิตรอด การแตกออกของท่อนำไข่เป็นกรณีฉุกเฉิน ที่จะต้องได้รับการรักษาจากแพทย์โดยเร่งด่วน การช่วยเหลือจะได้ผลดีเพียงใดขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยได้ตั้งแต่เริ่มแรก และการผ่าตัด การตั้งครรภ์ภายหลังจากนั้นสามารถเกิดขึ้นเป็นปกติได้ ประมาณ 50-85%<br /><strong>การรักษา</strong><br />ในการรักษาภายหลังการวินิจฉัยอาจเป็นโดยการผ่าตัดผ่านกล้อง laparoscopy หรือ การผ่าตัดเปิดหน้าท้อง exploratory laparotomy<br />การผ่าตัดจะนำส่วนของตัวอ่อนที่กำลังเจริญเติบโต รก และเนื้อเยื่ออื่นๆและบริเวณที่ได้รับความเสียหาย ส่วนท่อนำไข่นั้นหากไม่สามารถต่อหรือซ่อมแซมได้ก็จะถูกตัดออกมาด้วย การตั้งครรภ์ในอนาคตจะต้องใช้ท่อนำไข่เพียงข้างเดียว<br /><strong>การใช้ยา</strong><br />จ่ายยาปฏิชิวนะให้กับผู้ป่วยภายหลังการผ่าตัดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ<br />โดยทั่วไปแพทย์มักจะจ่ายยาระงับอาการปวดให้ในระยะ 7 วันแรกของการผ่าตัด<br />ในบางรายอาจมีการให้ธาตุเหล็กเสริมเพื่อป้องกันภาวะโลหิตจาง<br /><strong>การทำกิจกรรมต่างๆ</strong><br />ผู้ป่วยสามารถกลับมาทำกิจวัตรประจำวันต่างๆได้เร็วเท่าที่ร่างกายจะสามารถทำได้ ความรวดเร็วของการฟื้นตัวขึ้นอยู่กับชนิดของการผ่าตัดด้วยว่าเป็น การผ่าตัดผ่านกล้อง laparoscopy หรือ ผ่าตัดเปิดหน้าท้อง exploratory laparotomy<br />การมีเพศสัมพันธ์สามารถทำได้หลังจากที่แพทย์ได้ทำการตรวจว่าเป็นปกติดีแล้ว<br /><strong>ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการผ่าตัด</strong><br />เลือดออกมากผิดปกติจนชุ่มผ้าอนามัย ต้องเปลี่ยนทุกชั่วโมง<br />มีอาการแสดงว่าติดเชื้อเช่น รู้สึกไม่สบาย มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หรือเวียนศีรษะ<br />ปวดปัสสาวะบ่อยขึ้น เป็นเวลานานกว่า 1 เดือน อาจแสดงถึงกระเพาะปัสสาวะมีการระคายเคืองหรือติดเชื้อซึ่งเป็นผลจากการผ่าตัด</span></span></div>Aorsakhttp://www.blogger.com/profile/14386153354645555168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6539004750727168747.post-87614293979091483612009-05-06T01:38:00.000-07:002009-05-06T01:42:52.189-07:00ภาวะ ตัวเหลือง ในทารก<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgAWIezP5M3YzNLLCAgyLZrF2ldZGy-RU66KG8uZNNJQP9RlR-bSzTJYgezK5zUqGOogT93gsGvkg3kvBvgYNam05n6JFgw-OeTzIilvuEsvB4JfA0YfYhP4YobBuBU4AllvLTDK79Kgms/s1600-h/44494.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5332628663190431506" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; CURSOR: hand; HEIGHT: 300px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgAWIezP5M3YzNLLCAgyLZrF2ldZGy-RU66KG8uZNNJQP9RlR-bSzTJYgezK5zUqGOogT93gsGvkg3kvBvgYNam05n6JFgw-OeTzIilvuEsvB4JfA0YfYhP4YobBuBU4AllvLTDK79Kgms/s400/44494.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;color:#6633ff;">ภาวะตัวเหลืองในทารกเกิดจากการที่ร่างกายมีสารสีเหลืองในกระแสเลือดมากกว่าปกติ โดยอาจมีสาเหตุมาจากมีก้อนโนในเลือด (ที่ศีรษะ) มีเลือดแดงมากกว่าปกติ น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อยกว่า 2,500 กรัม มีเม็ดเลือดแดงแตกง่าย มีกรุ๊ปเลือดที่ไม่เข้ากับแม่ เกิดจากแม่ที่ได้รับยาเร่งคลอด ทารกถ่ายขี้เทาช้าเกินไป ฯลฯ </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;color:#6633ff;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;color:#6633ff;">ทั้งนี้ชนิดของภาวะตัวเหลืองแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ ชนิดปกติและชนิดผิดปกติ โดยทั่วไปภาวะตัวเหลืองชนิดผิดปกติจะเกิดขึ้นใน 24 ชั่วโมงหลังคลอดและมักจะเหลืองนานเกินสัปดาห์ ซึ่งต้องได้รับการรักษาโดยด่วน เพราะหากไม่ได้รับการรักษาทารกจะชักและอาจเสียชีวิต หรือถ้าไม่เสียชีวิตก็จะทำให้ปัญญาอ่อนได้</span></div><br /><div><span style="font-family:arial;color:#6633ff;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;color:#6633ff;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;color:#6633ff;">การรักษาภาวะตัวเหลืองในทารกที่นิยมในปัจจุบัน คือ “คือการส่องไฟ” โดยจะนำทารกส่องไฟ 3 ชั่วโมง พัก 1 ชั่วโมง สลับกันไป อาจใช้เวลารักษานาน 7-10 วัน ขณะส่องไฟจะต้องถอดเสื้อผ้าทารกออก เพื่อให้ผิวหนังสัมผัสแสงโดยตรง ที่สำคัญคือต้องปิดตาทารก เพื่อป้องกันแสงทำอันตรายต่อตา และการรักษาด้วยไฟส่องนี้อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น มีไข้ ถ่ายอุจจาระเหลว ตาแฉะ ผิวหนังแห้ง ลอก แตกหรือมีผื่นขึ้น ผิวหนังเป็นสีเทาเงิน และถ้าเป็นเพศชายองคชาตอาจชี้หรือแข็งตัวเสมอๆ และอาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อเลิกส่องไห แต่มารดาก็สามารถช่วยให้บุตรหายเร็วขึ้นด้วยการให้นมแม่ ซึ่งจะทำให้ทารกขับถ่ายสารสีเหลืองออกมาทางอุจจาระ การได้นมเพียงพอจะลดอาการแทรกซ้อนดังกล่าวข้างต้น เมื่อกลับบ้าน มารดาควรเลี้ยงดูบุตรเช่นเดียวกับทารกปกติทั่วไป โดยช่วงเช้าๆ อาจนำบุตรออกไปรับแสงแดดอ่อนๆ ประมาณ 20-30 นาที ก็จะช่วยให้ผิวสีเหลืองจางเร็วขึ้น ส่วนความเข้าใจที่ว่าการให้ทารกดูดน้ำมากๆ จะช่วยให้หายตัวเหลืองนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะสารสีเหลืองไม่สามารถละลายในน้ำได้ น้ำจึงไม่ใช่สิ่งที่จะช่วยรักษาภาวะตัวเหลืองภาวะตัวเหลืองของทารกสามารถหายเป็นปกติได้ ถ้าได้รับการรักษาทันเวลาและดูแลอย่างถูกต้อง</span></div><br /><div></div><br /><div>ที่มา : รศ. ลาวัณย์ ผลสมภพ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล</div>Aorsakhttp://www.blogger.com/profile/14386153354645555168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6539004750727168747.post-51618885061743421402009-05-06T01:31:00.000-07:002009-05-06T01:36:00.963-07:00Why is Maternuty care Like This ?<span style="color:#6600cc;">Why is Maternity Care Like This?<br />Many elements of the care most women receive during pregnancy and childbirth in the United States are not based on the most reliable research on what is safe and effective. Procedures that are useful—and sometimes even lifesaving— when applied to women and babies with specific high-risk conditions are often extended liberally to other women and babies—“just in case.” Such unnecessary medical interventions are not helpful and can even be harmful. </span><br /><span style="color:#6600cc;"><br /></span><a name="back3"><span style="color:#6600cc;">One</span></a><span style="color:#6600cc;"> procedure that is badly overused is episiotomy (cutting the perineum in order to make the opening to the vagina bigger). While episiotomy can help when the baby is very large or when the baby needs to come out immediately, its use should be limited to clear cases of need because it increases the likelihood of serious tears into or through the anal muscle.</span><a href="http://www.ourbodiesourselves.org/book/childbirthexcerpt.asp?id=88&chapterID=21#note3"><span style="color:#6600cc;">3</span></a><span style="color:#6600cc;"> Other overused interventions include continuous electronic fetal heart rate monitoring (see page 174), induction of labor (see page 146), and cesarean section. </span><br /><span style="color:#6600cc;"><br /></span><a name="back4"><span style="color:#6600cc;">Overuse</span></a><span style="color:#6600cc;"> of obstetric interventions is a widespread problem. A national survey of mothers who gave birth in hospitals in 2005 found that nearly all women experienced some combination of interventions that can interfere with the normal progression of birth.</span><a href="http://www.ourbodiesourselves.org/book/childbirthexcerpt.asp?id=88&chapterID=21#note4"><span style="color:#6600cc;">4</span></a><span style="color:#6600cc;"> </span><br /></span><span style="color:#6600cc;"></span><br /><span style="color:#6600cc;"> Most of the women surveyed had continuous electronic fetal heart rate monitoring, urinary catheterization, administration of intravenous fluids, and epidural or spinal analgesia. One in two received synthetic oxytocin to either start her labor or make her contractions stronger and more frequent, and slightly more than three in ten had a cesarean section. </span><br /><span style="color:#6600cc;"></span><br /><span style="color:#6600cc;">Most women also experienced practices that may do more harm than good, such as not eating or drinking anything during labor and lying on their backs during labor and while giving birth. The United States’ C-section rate is more than twice the maximum rate recommended by the World Health Organization; this means that more mothers and babies are exposed to the negative effects of surgical birth. (For more information on C-sections, see Chapter 13, “Cesarean Births.)<br /></span><br /><a name="back5"><span style="color:#6600cc;">While</span></a><span style="color:#6600cc;"> such procedures are overused, other practices that improve birth outcomes and increase women’s satisfaction are widely underused. These practices include receiving continuous one-on-one support during labor; being able to change positions, get out of bed, and walk during labor; and using comfort measures such as massage, warm baths, and birthing balls. The same national survey mentioned above found that of every one hundred women giving birth in a hospital, only three were attended by a doula (a trained labor companion), only four used a shower to help cope with labor pain, and only six relaxed in a tub or pool of warm water during labor.</span><a href="http://www.ourbodiesourselves.org/book/childbirthexcerpt.asp?id=88&chapterID=21#note5"><span style="color:#6600cc;">5</span></a><span style="color:#6600cc;"> </span><br /><span style="color:#6600cc;"><br />We need to turn these numbers around. Medical procedures that are potentially harmful should be used only when needed, and practices that are known to improve outcomes should be made widely available.<br /><br />Most health systems struggle to ensure that people receive evidence-based care. It is difficult for busy health care professionals to keep up with and interpret a large and ever-growing body of studies. Even when providers understand lessons from the best available research, it is often hard to change established beliefs and routines. Many groups have a role in ensuring that mothers and babies receive high-quality care. These include health care providers and women ourselves, as well as policy makers, payers, administrators, educators, researchers, and journalists.<br /><br />Why Is Maternity Care Like This?<br /><br />Why are some medical interventions still being overused in the United States today, despite the evidence against them? And why aren’t approaches that are known to be helpful offered to all women? Advocates for improving maternity care point to the following roadblocks to change.<br /><br />OBSTETRICAL TRAINING AND THE MEDICAL SYSTEM<br /><br />Obstetricians provide care for the vast majority of pregnant women in the United States.<br /><br />Obstetrics is a surgical specialty, and doctors training to become obstetricians learn, among other things, to perform cesarean sections, apply forceps, and cut and repair episiotomies. They generally receive less instruction in the natural progression of childbirth or in birth techniques that minimize perineal tearing. The focus is on external management rather than on facilitating a woman’s own capacities for labor. In many training programs, obstetricians are not even required to sit with a healthy woman throughout her labor or observe one birth without any interventions. This training leads obstetricians to be far more comfortable managing childbirth with medication and technological interventions than without.<br /><br />The widespread use of epidurals also has transformed childbirth in the United States. While epidurals are a very effective form of pain relief during labor, they sometimes have adverse effects and can alter the natural progression of labor. A woman who has an epidural is usually restricted in her movements and for safety reasons must be monitored continuously by electronic fetal monitoring (EFM). The restricted movement and muscle relaxation caused by the epidural can cause babies who are facing backward to stay that way, which results in a longer second stage of labor and a higher incidence of forceps and vacuum deliveries. Use of epidurals also can lead to less effective pushing. (For more information on epidurals, see page 208.)<br /><br /></span><a name="back7"><span style="color:#6600cc;">The use </span></a><span style="color:#6600cc;">of continuous EFM has also changed childbirth. Continuous fetal heart rate monitoring is used nearly universally in hospitals. Because the fetal heart rate patterns seen when the heart rate is continuously recorded are sometimes difficult to interpret, EFM has increased the number of labors considered “complicated” or “risky.” The widespread routine use of EFM has led doctors to overdiagnose complications, too narrowly define what is normal, and treat deviations from those norms as evidence that something is wrong.</span><br /></span><a href="http://www.ourbodiesourselves.org/book/childbirthexcerpt.asp?id=88&chapterID=21#note7"><span style="color:#6600cc;">7</span></a><span style="color:#6600cc;"> For women who do not have labor interventions such as epidurals that make continuous monitoring necessary, intermittent monitoring appears to be as effective as continuous monitoring at detecting true problems, and is not associated with an increased risk of cesarean birth or of vaginal birth assisted by vacuum extraction or forceps. (For more information on fetal monitoring, see page 174.) </span><br /><span style="color:#6600cc;"><br />Epidurals and EFM have changed the kind of nursing care women receive. In the past, personal one-on-one care was the hallmark of obstetrical nursing. Today, for a variety of reasons, including nursing shortages, budgetary constraints, and less training in the natural progression of birth, labor nurses increasingly rely on continuous electronic fetal monitoring to help them care for more than one woman at a time. Therefore, fewer laboring women have access to this vital one-on-one support.<br /><br />ECONOMIC INCENTIVES<br /><br /></span><a name="back8"><span style="color:#6600cc;">Surgical</span></a><span style="color:#6600cc;"> interventions can save doctors time and money. Many payment systems offer a single or fixed fee to doctors regardless of whether a baby is born vaginally or by cesarean, and others offer a larger fee for a cesarean. Therefore, those doctors who patiently support natural labor, which starts at unpredictable hours and generally requires more time, are penalized financially.</span><a href="http://www.ourbodiesourselves.org/book/childbirthexcerpt.asp?id=88&chapterID=21#note8"><span style="color:#6600cc;">8</span></a><span style="color:#6600cc;"> Some systems provide increased payment for a cesarean section, making planned surgery the most cost-efficient and time-saving scenario for doctors. Inducing labor instead of waiting for it to start on its own also helps doctors control their hours. Elective cesarean sections and scheduled induction of labor help hospitals make nursing staff schedules more predictable and shift more of health care providers’ work to convenient weekday hours. </span><br /></span><span style="color:#6600cc;"><br />FEAR OF LAWSUITS<br /><br />If something goes wrong, doctors may be blamed for not doing something, but rarely are they blamed for doing something that is not necessary. For example, malpractice lawsuits for not performing a cesarean section are much more common than lawsuits for doing one when it wasn’t necessary. To avoid litigation, many doctors and some midwives feel compelled to do “too much” rather than be accused of doing “too little.” Market forces, pharmaceutical advertising, and other medical industry marketing practices may also contribute to a drive to “do something” even when observation and emotional support would be better for mother and baby than an additional test or procedure.<br /><br />A RUSHED, RISK-AVERSE SOCIETY<br /><br />The desire to eliminate pain and control outcomes may cause both health care providers and expectant parents to embrace unneeded and potentially harmful procedures. U.S. society today has an aversion to risk that contributes to a climate of doubt in which all labors are treated as potential problems, and healthy women with low- risk pregnancies receive treatments that were designed for use by women with high-risk pregnancies. In addition, women sometimes are not allowed sufficient time for labor to progress and a vaginal birth to occur. Women’s own expectations can contribute to rushing labor.<br /><br />THE LANGUAGE OF “CHOICE”<br /><br />Labor and birth approaches are sometimes presented as equivalent “choices” without full, accurate information about their potential consequences. For example, elective cesareans (cesarean sections done without a medical need) are increasingly presented by the media and some doctors in a misleading fashion— as a “reasonable” option for healthy pregnant women. (For more information, see “Maternal Request,” page 43.)<br /><br />ASSISTED REPRODUCTIVE TECHNOLOGIES AND OLDER MOTHERS<br /><br /></span><a name="text*"><span style="color:#6600cc;">The use </span></a><span style="color:#6600cc;">of assisted reproductive technologies is leading to more births by older women and more multiple births. In vitro fertilization has increased the number of births of twins, triplets, and other multiples, and such babies are often delivered by cesarean section.</span><a href="http://www.ourbodiesourselves.org/book/childbirthexcerpt.asp?id=88&chapterID=21#*"><span style="color:#6600cc;">*</span></a><span style="color:#6600cc;"> Whether we have used assisted reproductive technologies or not, those of us who get pregnant when we are older are more likely to have medical conditions such as high blood pressure or diabetes that can make pregnancy more complicated. Women over age forty have higher rates of medical interventions, including cesarean sections. Nevertheless it is important not to assume that your pregnancy is “high-risk” and requires interventions simply because of your age; the majority of women over forty have healthy, uncomplicated pregnancies.</span><br /></span><span style="color:#6600cc;"></span><br />Excerpted from Chapter 16: Life as a New Mother in <a href="http://www.ourbodiesourselves.org/publications/childbirth/default.asp">Our Bodies, Ourselves: Pregnancy and Birth</a> © 2008 Boston Women's Health Book Collective.Aorsakhttp://www.blogger.com/profile/14386153354645555168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6539004750727168747.post-20806697446889073292009-04-27T15:39:00.000-07:002009-04-27T15:42:27.718-07:00ค้นศาสตร์การตั้งชื่อเด็กที่เกิดช่วงหลังสงกรานต์<span style="color:#663366;"> ค้นศาสตร์การตั้งชื่อให้เด็กที่เกิดช่วงหลังสงกรานต์<br /> สงกรานต์ปีนี้ ตรงกับปีฉลู เป็นมนุษย์ผู้ชายธาตุดิน วันที่ 14 เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ ทางจันทรคติตรงกับวันจันทร์ แรม 4 ค่ำ เดือน 5 เวลา 01 นาฬิกา 13 นามี 14 วินาที สุรยคติปฏิทินสากลเป็นวันอังคาร นางสงกรานต์นามว่า โคราคะเทวี พาหนุรัด ทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดาหาร (สีหมอกบัว-ตะวันณาแปลให้) ภักษาหารน้ำมัน พระหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายถือไม้เท้า เสด็จไสยาสน์หลับเนตรมาเหนือหลังพยัคฆะเป็นพาหะ<br /> วันที่ 16 เมษายน เวลา 05 นาฬิกา 06 นาที เปลี่ยนจุลศักราชใหม่เป็น 1371 ปีนี้วันเสาร์เป็นธงชัย วันพุธเป็นอธิบดี วันศุกร์เป็นอุบาทว์และโลกาวินาศ ส่วนพืชพรรณธัญญาหารได้เศษ 6 ชื่อลาภะ ข้าวกล้าในนาจะได้ผล 9 ส่วน เสีย 1 ส่วน จะอุดมสมบูรณ์น้ำมีมาก<br /> มีคำพยากรณ์ของโบราณกาลว่า หากวันมหาสงกรานต์ตรงกับวันจันทร์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และคุณหญิงคุณนายทั้งหลายจะมีอำนาจ วันอังคารเป็นวันเนา (วันสถิตย์ หรืออยู่-ตะวันณาแปลให้) จะทำให้ผลหมากรากไม้แพง วันพุธเป็นวันเถลิงศก (ฉลองปีใหม่) บรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตจะมีความสุขสำราญ และ การที่นางสงกรานต์นอนหลับบนหลังเสือ โบราณว่า พระมหากษัตริย์จะเจริญรุ่งเรืองดี<br /> “ตะวันณา” เก็บข้อมูลดังกล่าวมาบันทึกไว้เพื่อให้ศิษย์ประเภท “ครูพัก-ลักจำ”ของ “ตะวันณา” คือเรียนรู้วิชาการการตรวจสอบชื่อและลายเซ็นของ “ตะวันณา” ผ่านคอลัมน์นี้ทุกวันเสาร์ได้ตัดเก็บไว้ เพราะการเปลี่ยนแปลงวันเดือนปีแบบไทยโบราณนี้ มีส่วนสำคัญในการนำเทียบเคียงกับการตั้งชื่ออย่างมากทีเดียว<br /> นับจากวันที่ 16 เมษายน 2552 เป็นต้นไป เด็กที่เกิดวันจันทร์ จะได้เป็นใหญ่เป็นโต และมีอำนาจมาก การตั้งชื่อเด็กที่เกิดหลังวันที่ 16 เมษายน 2552 จะต้องนำด้วยอักษรในอักขระวรรคย์ ฤทธี เป็นหลักเท่านั้น ส่วน เด็กที่เกิดในวันอังคาร จะเติบใหญ่ในธุรกิจที่เกี่ยวกับที่ดิน เช่น การทำเกษตร ทำฟาร์ม หรือการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ การตั้งชื่อต้องเน้นที่อักขระวรรคย์วิริยะ เป็นหลักเท่านั้น<br /> ในขณะที่ เด็กที่เกิดวันพุธ ทั้งกลางวันและกลางคืน จะเติบใหญ่ได้ดีในงานอาชีพการเป็นครูบาอาจารย์ นักวิชาการ นักสื่อสารมวลชน การตั้งชื่อต้องเน้นที่อักขระวรรคย์ วิริยะ เป็นหลักเช่นเดียวกับผู้ที่เกิดวันอังคาร สำหรับเด็กที่เกิดวันวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันครู จะเติบใหญ่ในงานอาชีพการเป็นครูบาอาจารย์ นักวิชาการ นักสื่อสารมวลชนเช่นเดียวกับผู้ที่เกิดวันพุธ แต่ควรใช้อักษรในอักขระวรรคย์มังคละหรือบารมี แทนวรรคย์วิริยะ<br /> เด็กที่เกิดในวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันอุบาทว์ภายหลังวันที่ 16 เมษายน 2552 ควรหลีกเลี่ยงการตั้งชื่อที่มีอักษรในอักขระวรรคย์ ฤทธี เพราะจะทำให้เกิดความป่นปี้ ทั้งตัวเด็กและสังคมในอนาคต ควรใช้อักขระวรรคย์อุปการะ หรือไวยะวัฒนะ จะทำให้ฤทธิ์เดชลดลงกว่าที่ควรจะเป็น<br /> เด็กที่เกิดในวันเสาร์ เป็นวันธงชัย ใช้อักษรวรรคย์ใดก็ประเสริฐทั้งสิ้น (ยกเว้นอักษรที่เป็นกาลกิณีนะ) เช่นเดียวกับเด็กที่เกิดวันอาทิตย์ ยังพอได้ผลพวงจากวันธงชัยอยู่บ้าง การตั้งชื่อจึงควรหาอักขระวรรคย์ที่เป็นมังคละและบารมีเป็นหลัก<br /> นี่คือเคล็ดวิชาที่ “ตะวันณา” ยึดถือมา และเพิ่งจะเฉลยให้แฟนคอลัมน์ทั่วไป และที่สมัครเป็นศิษย์ "ตะวันณา" ประเภท “ครูพัก-ลักจำ” ได้ทราบพร้อมๆ กันว่า<br /> การตั้งชื่อ ตำรับไทย ที่มิได้ใช้ตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น มีหลักในการยึดโยงกันอย่างไร และไม่เพียงเท่านี้นะครับ การตั้งชื่อตำรับไทยที่กำลังถูกกลบด้วยกระแสการบวกเลขจากอักษรต่างๆ นั้น ยังยึดโยงไปถึงเวลาเกิดของแต่ละคนอีกด้วย<br /> วันเกิดนั้น ใช้ในการหา “อักษร” ที่จะนำมาตั้งชื่อ แต่ “เวลาเกิด” ใช้ใน “ความหมายชื่อ” ให้ตรงกับอุปนิสัยของแต่ละคน ซึ่งก็คงจะเฉลยให้ทราบในเวลาอันควรครับ<br />ที่มาข้อมูล ตะวันณา คม ชัด ลึก</span>Aorsakhttp://www.blogger.com/profile/14386153354645555168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6539004750727168747.post-91264879973392453132009-04-27T15:33:00.000-07:002009-04-27T15:36:39.743-07:00ความเชื่อโบราณ กับการตั้งครรภ์<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxKGuZhWdblRTBDKIuUmVRJ2n3XVNHoPbaWdGjv6lfUmkw6DkZjYbBTX1YZj-zv7nANo-MU4PVBVuGb4WPagb2MsEw3Yoxd-TGX_3PfuK_t9fFuyuWFt1suVI4oZRlGca-8pf37gWVK00/s1600-h/pregnant[1].jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5329503760624653170" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 266px; CURSOR: hand; HEIGHT: 400px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxKGuZhWdblRTBDKIuUmVRJ2n3XVNHoPbaWdGjv6lfUmkw6DkZjYbBTX1YZj-zv7nANo-MU4PVBVuGb4WPagb2MsEw3Yoxd-TGX_3PfuK_t9fFuyuWFt1suVI4oZRlGca-8pf37gWVK00/s400/pregnant%5B1%5D.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="color:#330033;">1. ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน คุณเชื่อหรือไม่คะว่าคนสมัยก่อนเชื่อกันว่า การดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนทุกวันระหว่างตั้งครรภ์นั้น จะทำให้เด็กทารกที่คลอดมามีผิวพรรณสะอาดเกลี้ยงเกลา ไม่มีไขมันติดตัวออกมาเวลาคลอด เกี่ยวกับความเชื่อมในเรื่องนี้นั้นคุณคัทรินทร์ ปิยะวาทวงศ์ นักโภชนาการโรงพยาบาลพระรามเก้ากล่าวชี้แจงว่า “... ในเรื่องนี้นั้นยังไม่มีงานวิจัยออกมายืนยันอย่างชัดเจนค่ะว่าข้อเท็จจริงนั้นเป็นอย่างไร<br />่ อย่างไร แต่เคยมีงานวิจัยของเมืองนอกชิ้นหนึ่งออกมาว่า ในน้ำมะพร้าวมีสารชนิดหนึ่งซึ่งช่วยให้มดลูกบีบตัว ดังนั้นหากหญิงมีครรภ์ดื่มน้ำมะพร้าวเข้าไปสารตัวนี้ก็จะไปช่วยให้มดลูกบีบรัดรก ทำให้เกิดมีการคล้ายๆ ชะล้างเกิดขึ้น ...เหมือนๆ กับที่มีข้อห้ามไม่ให้คนที่กำลังมีประจำเดือนดื่มน้ำมะพร้าวนั่นแหละค่ะ เพราะเกรงว่าจะไปบีบรัดมดลูก แต่ยังไม่มีงานวิจัยใดที่ออกมายืนยันว่าดื่มน้ำมะพร้าวแล้วผิวพรรณเด็กจะดีค่ะ...” อย่างไรก็ตามไม่ได้มีข้อห้ามไม่ให้คุณแม่ตั้งครรภ์ดื่มน้ำมะพร้าวที่แสนอร่อย เย็นชื่นใจ ... จริงไหมคะ </span></div><span style="color:#330033;"><br /><div><br />2. ห้ามนอนหงายเพราะรกจะติดหลังแล้วคลอดออกมาไม่ได้ พ.อ. ดาราพงศ์ ลังกาฟ้า สูตินรีแพทย์ได้กรุณาให้คำตอบเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องนี้ว่า “...เป็นการเข้าใจผิดของคนในสมัยก่อน ซึ่งไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องรกในร่างกาย รกจะไม่เกาะติดกับหลังของเรา เพราะรกอยู่ในมดลูก รกจะเกาะติดด้านหน้า หรือด้านหลังของมดลูกก็ได้ไม่มีอันตรายใดๆ ที่จะมีอันตรายคือ รกเกาะต่ำ โดยรกมาเกาะด้านล่างบริเวณปากมดลูก ซึ่งทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอดได้ รกจะเกาะที่ไหนไม่ได้ขึ้นกับท่านอน การนอนตะแคงดีกว่านอนหงายในอายุครรภ์หลังๆ ตอนท้องโต การนอนหงายมดลูกจะไปกดทับเส้นเลือดดำใหญ่ ซึ่งอยู่ด้านหลังมดลูกได้ ทำให้ความดันโลหิตต่ำลง และเลือดไปหล่อเลี้ยงมดลูกน้อยลง เป็นอันตรายต่อแม่และเด็กได้ แต่ถ้านอนตะแคง มดลูกจะไม่ไปกดทับเส้นเลือดดำใหญ่ อันตรายก็ไม่เกิดขึ้น...”<br />ข้อห้ามไม่ให้ “คนท้องนอนหงาย” นี้ ดูเหมือนจะเป็นความเชื่อของคนแทบทุกภาคของประเทศ ต่างกันเพียงแค่เหตุผล (คำขู่) เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเองค่ะ บางท้องถิ่นบอกว่า...หากคนท้องนอนหงาย ลูกในท้องจะดิ้นแรง ทำให้แม่ท้องแตกตายได้ ...ฟังแล้วน่ากลัวจังเลยนะคะ อย่างไรก็ตามจากการวิจัยทางการแพทย์ของหลายหน่วยงานยืนยันว่า คุณแม่ตั้งครรภ์ควรนอนตะแคงด้านซ้ายเพราะเส้นเลือดใหญ่อยู่ทางด้านขวา หากนอนตะแคงขวาจะทำให้เลือดไหลไม่ค่อยสะดวกค่ะ </div><br /><div><br />3. ห้ามไปงานศพ ร.อ. (หญิง) เพ็ญพร สมศิริ หัวหน้าโครงการเตรียมมารดาเพื่อการคลอด กองสูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าได้แนะนำไว้ในหนังสือพิมพ์ “ผู้จัดการรายวัน” (7 มี.ค. 2544) ว่า “...หญิงตั้งท้องในระหว่างรอคลอดอย่าเครียด และแสดงอาการวิตก เพราะจะส่งผลต่อทารกน้อยในครรภ์ ...ควรทำใจให้มีความสุขยิ้มแย้ม เด็กเกิดมาจะได้มีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง...”<br />น่าแปลกที่ความเชื่อเรื่องนี้ปรากฏมีตรงกันแทบทุกท้องถิ่นของประเทศไทย แตกต่างกันเฉพาะเหตุผลที่ไม่อนุญาตหรือห้ามคนตั้งครรภ์ไม่ให้ไปร่วมงานเท่านั้นที่ไม ่ตรงกัน เช่น บางที่ให้เหตุผลว่า “กลัวมีวิญญาณร้ายจากสุสารติดตามมา” บางท้องที่ก็บอกว่า “กลัวผีเข้า”<br />อย่างไรก็ตามหากพิจารณาตามหลักจิตวิทยาโดยยกเอาคำแนะนำของคุณหมอเพ็ญพรข้างต้นมาประกอบฬ จะเห็นถึงความห่วงใยที่คนรุ่นเก่ามีต่อคนตั้งครรภ์และเด็กในท้อง ไม่อยากให้ต้องเข้าไปอยู่ท่ามกลางบรรยากาศ แห่งความสูญเสียโศกเศร้า ทำให้จิตใจต้องสลดหดหู่และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นงานศพของญาติพี่น้องคนที่รักด้วย แล้ว อาจจะทำให้เกิดอาการ “เครียด” ขึ้นมาได้ ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อทั้งตัวแม่และลูกในครรภ์ </div><br /><div><br />4 . ห้ามออกกำลังกาย / ควรออกกำลังกาย คงเป็นเพราะในระหว่างการตั้งครรภ์คุณแม่ส่วนใหญ่มักมีอาการแพ้ท้อง คลื่นไส้อาเจียน ฯลฯ ดังนั้น ในสมัยก่อนบางท้องถิ่นจึงมองว่าการตั้งครรภ์นั้นเหมือนเป็นการเจ็บป่วยชนิดหนึ่ง ซึ่งต้องการการพักผ่อนห้ามออกแรงในเรื่องนี้ พลเรือตรี นายแพทย์สุริยา ณ นคร รองเจ้ากรมแพทย์โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้าได้กล่าวไว้ในบทความเรื่อง “หญิงมีครรภ์กับการออกกำลังกายในน้ำ” ดังนี้ “...อย่างไรก็ดีหลักฐานต่างๆ แสดงว่าการออกกำลังกายสม่ำเสมอในระหว่างการตั้งครรภ์ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการออกกำลังกาย ช่วยให้คลอดง่ายและหลังคลอดแล้วร่างกายจะคืนสู่สภาพปกติรวดเร็ว...” อย่างไรก็ตาม ท่านรองเจ้ากรมแพทย์ได้บอกว่า สตรีมีครรภ์ควรออกกำลังกายอย่างระมัดระวัง และพอเหมาะภายใต้คำแนะนำของแพทย์<br />ความเชื่อในเรื่องนี้ไม่เป็นเอกฉันท์แตกต่างไม่ตรงกันเหมือนดังข้ออื่นๆ เพราะบางท้องที่ทางภาคเหนือกลับนิยมให้หญิงมีครรภ์ทำงานบ้านไม่นั่งไม่นอนอยู่เฉยๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า หากอยู่เฉยๆ ไม่ทำงานแล้วท้องจะฝืดทำให้คลอดลูกยาก ซึ่งสอดคล้องกับเหตุผลที่คุณหมอแนะนำมาอย่างน่าประหลาดใจ </div><br /><div><br />5. ห้ามกินกล้วยน้ำว้า เพราะจะทำให้คลอดยาก คุณคัทรินทร์ ปิยะวาทวงศ์ นักโภชนาการจากโรงพยาบาลพระรามเกล้าได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “...กล้วยน้ำว้าเป็นกล้วยที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง สาเหตุที่คนโบราณห้ามไม่ให้คนท้องกินนั้นน่าจะมีหลายสาเหตุ อย่างเช่น กลัวเด็กจะตัวโตแล้วคลอดยาก เพราะในสมัยก่อนยังไม่มีการผ่าตัดทำคลอด หากเด็กในท้องอ้วนท้วนสมบูรณ์เกินไปจะเป็นอันตรายต่อทั้งแม่และลูกได้ค่ะ อีกอย่างนั้นคือ ในกล้วยสุกๆ จะหวานมีแป้งมาก กินสองสามลูกก็จะรู้สึกอิ่มจนไม่อยากกินอย่างอื่น ทำให้ขาดสารอาหารได้ นอกจากนี้ การกินกล้วยห่ามๆ ไม่สุกจะทำให้เกิดอาการท้องผูก อาการท้องผูกนั้นเป็นปัญหาของคนท้องอยู่แล้ว ยิ่งกินกล้วยห่ามๆ เข้าไปจะทำให้มีปัญหาเรื่องท้องผูกมากยิ่งขึ้นค่ะ...” </div><br /><div><br />6. ห้ามกินเนื้อวัว เพราะเชื่อว่าจะทำให้เนื้อตัวทารกที่เกิดใหม่ จะเต็มไปด้วยไขมันล้างออกยาก เกี่ยวกับข้อห้ามข้อนี้ คุณคัทรินทร์กล่าวว่า “...จริงๆ แล้วโภชนาการสมัยใหม่ไม่ได้ห้ามไม่ให้คนท้องกินเนื้อวัวค่ะ แต่ควรระมัดระวังเพราะโดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่ที่กินเนื้อวัวมักจะไม่ชอบกินสันในแต่ชอบกินเนื้อติดมัน ซึ่งจะทำให้อ้วนมีไขมันเยอะค่ะ...” </div><br /><div><br />7. ห้ามกินหอย คนโบราณห้ามคนท้องกินหอยทุกประเภท เพราะมีความเชื่อว่า เวลาคลอดจะมีกลิ่นคาว และคลอดยากเหมือนหอยที่ติดอยู่ในเปลือก คุณคัทรินทร์ได้กรุณาชี้แจงในเรื่องนี้ว่า “โภชนาการคนท้องสมัยนี้ไม่มีข้อห้ามไม่ให้คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์กินหอยค่ะ เพราะหอยส่วนใหญ่จะให้คุณค่าให้สารไอโอดีนสูงคุณแม่ควรจะกินเพื่อป้องกันการขาดสารไอ โอดีน ยกเว้นแต่คุณแม่ตั้งครรภ์ในรายที่มีไขมันในเลือดสูง ควรงดกิน โดยเฉพาะหอยนางรมที่มีคอเรสเตอรอลสูงมากค่ะ” </div><br /><div><br />8. ห้ามกินผักที่เป็นเครือเถา คนโบราณในบางท้องที่เช่นทางภาคเหนือจะห้ามไม่ให้คนท้องกินผักที่มีลักษณะเป็นเครือเถ า เช่นผักตำลึง ยอดฟักทอง เป็นต้น คุณคัทรินทร์อธิบายในเรื่องนี้ว่า “น่าจะมาจากการที่คนสมัยก่อน ประสบกับตัวเองเป็นต้นว่า เห็นคนที่กินอาหารประเภทนี้แล้วมีอาการปวดขา ตามหลักโภชนาการแล้วน่าจะมีส่วนค่ะ เพราะในผักยอดอ่อนจะมีสาร purin สูง สารนี้เมื่อทำการย่อยจะกลายเป็นกรดยูริก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคเก๊าส์ได้ ส่วนคนที่กินแล้วไม่เกิดอาการใดๆ นั้นควรจะทานผักเยอะๆ เพราะช่วยให้การขับถ่ายง่ายขึ้น” </div><br /><div><br />ที่มาข้อมูล นิตยสารบันทึกคุณแม่ ปีที่ 10July07 ภาพประกอบจาก flickr.com</span></div>Aorsakhttp://www.blogger.com/profile/14386153354645555168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6539004750727168747.post-358063231905299012008-09-21T01:44:00.000-07:002008-09-21T01:59:42.101-07:00Pros and Cons of Cloth Diapering<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjNDZap4T9_VNUvWgfh1D-vOhJGapE5Go7TEXW7kwAGL6AJMeCIFSh4aoc5z2z4p-wxxzzUM0x9Ai_vwb0j-qEvmbXQkovpRBQz00qp51jUyVdlPyj_f1-n0ze5f_KWIDeHgMF-99fRAJc/s1600-h/diapers280.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5248394316826692050" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjNDZap4T9_VNUvWgfh1D-vOhJGapE5Go7TEXW7kwAGL6AJMeCIFSh4aoc5z2z4p-wxxzzUM0x9Ai_vwb0j-qEvmbXQkovpRBQz00qp51jUyVdlPyj_f1-n0ze5f_KWIDeHgMF-99fRAJc/s400/diapers280.jpg" border="0" /></a><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJsY04dekf23xLD3kwP2lORl0-4tp17BT56064e5H825fa3w8fiLJazP8-1cTJmAa4Ag_UgyeZOMDu80fUdN-xYjsFeaXDB-yb8GNlGzlA8VUmylebH6p6Pl_LYE4Tx0-xRH3kHxjBUww/s1600-h/diapers280.jpg"></a><div><br /><br /></div><p><span style="color:#cc66cc;"><strong>Pros and Cons of Cloth Diapering</strong><br /><strong></strong></span></p><p><span style="color:#cc66cc;"><strong>Pros</strong><br /><br /></span></p><ul><li><span style="color:#cc66cc;">Cloth diapers are more economical. Once you purchase cloths you can use them again with future children. </span></li><br /><li><span style="color:#cc66cc;">Cloth diapers are better for the environment. (This is a topic for debate but they do not contribute to filling up landfills, etc) </span></li><br /><li><span style="color:#cc66cc;">Cloth diapers may aid in potty training as babies recognize wetness easier in cloths. </span></li><br /><li><span style="color:#cc66cc;">Less diaper rash. Babies that use cloths are less likely to have problems with diaper rash. (If your baby has a diaper rash from wearing cloths it may be because of the detergent you are using to wash the diapers and not the diapers themselves) </span></li><br /><li><span style="color:#cc66cc;">You don’t have to worry about running to the store every time you get low on diapers.<br /></span></li></ul><p><strong><span style="color:#cc66cc;">Cons</span></strong><strong><span style="color:#cc66cc;"><br /></span></p></strong><strong><ul><li></strong></li></ul><span style="color:#cc66cc;">Cloth diapers need to be changed more frequently. Disposables are very absorbent. </span><br /><li><span style="color:#cc66cc;">However with disposables, baby may end up sitting in a wet diaper longer because mom can’t tell that the diaper is wet. </span></li><br /><li><span style="color:#cc66cc;">It may be harder to travel places with cloth diapers. </span></li><br /><li><span style="color:#cc66cc;">It may be less convenient because you have to wash diapers regularly. </span></li><br /><li><span style="color:#cc66cc;">Cloth diapers are more likely to leak than disposables. </span></li><br /><li><span style="color:#cc66cc;">Cloth Diapering 101 - What You Need to Know</span></li><p><br /><span style="color:#cc66cc;"><strong>What kind of cloth diapers to buy?</strong><br /></span></p><p><span style="color:#cc66cc;">There are so many different styles of diapers and which kind you buy may be more of a personal preference. When making your decision you may want to factor in price and convenience. You can purchase flat diapers, prefolded diapers, fitted diapers or diapers that have everything in one.<br />Flat diapers are basically the old fashioned diapers that you probably think of when you think of cloths. They are a flat diaper and require you to fold them and fasten them with a diaper pin or other type of fastener. </span></p><p><br /><span style="color:#cc66cc;"><strong>Prefolds are already folded and just require fastening</strong>.<br />Fitted diapers are shaped with elastic around the legs to fit more snugly around the legs. They normally come with a built in fastener. (Flat diapers, prefolds, and fitted diapers require a plastic pair of pants or diaper cover to keep clothing from getting wet.)<br />The all in one diapers have everything built into one diaper and are the most convenient but they are also the most expensive.<br /></span></p><div><strong><span style="color:#cc66cc;">How to wash cloths?</span></strong></div><div><br /><span style="color:#cc66cc;">All you need is a plastic bucket to toss your diapers into. You can simply shake any dirty diapers into the toilet and toss your diapers into a plastic pail. (You can also purchase throw away liners to put inside your diaper to keep them from getting stained and make clean up easier.) When the pail is full throw everything into the laundry. You will want to run your diapers through two cycles to get them clean. The first cycle you can run on cold wash and cold rinse. The second cycle run through a hot wash and cold rinse. You will want to use a detergent that is free of dyes and perfumes. You may be tempted to use bleach on your diapers but this is not a good idea. The bleach may irritate your baby’s skin causing diaper rash. Bleach will also eat away the fibers in your diapers and ruin them in a matter of time</span></div>Aorsakhttp://www.blogger.com/profile/14386153354645555168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6539004750727168747.post-73124410374572222552008-09-20T23:45:00.000-07:002008-09-20T23:49:43.181-07:00Pain Relief During Labor<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBNHl7ZSI95BdL0_Q51UISY1tZJLFDORQF-5X1akH0RVnxRnFsw0YhiUXjlzZ0_LVJmu8BcOo4K9SbunQwMPsVxNfkRbIvswEv1I6kYN9RxA_nbHN-RnaWJ-2Y3pD3kHGi2O9GMOg0_H0/s1600-h/Foot_coming_out_of_pregnant_belly.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5248363144634203714" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBNHl7ZSI95BdL0_Q51UISY1tZJLFDORQF-5X1akH0RVnxRnFsw0YhiUXjlzZ0_LVJmu8BcOo4K9SbunQwMPsVxNfkRbIvswEv1I6kYN9RxA_nbHN-RnaWJ-2Y3pD3kHGi2O9GMOg0_H0/s400/Foot_coming_out_of_pregnant_belly.jpg" border="0" /></a><br /><div><strong><span style="color:#993399;">Pain Relief During Labor</span></strong></div><strong><br /><div></strong></div><span style="color:#993399;">There are two different types of drugs that you can choose from to relieve pain during labor.One type of drug is called an analgesic. Analgesics, like Stadol or Demoral, relieve pain but they don’t cause you to lose feelings or not be able to move parts of your body. Anesthesia, on the other hand, blocks all of the feelings in the area where it is administered. This results in you not feeling pain. When you think of anesthesia you may think about being put to sleep. This type of anesthesia is called general anesthesia and you will most likely not need this type of labor during a typical labor and birth. We are going to give you the basics on analgesics and anesthesia and also try to answer the most common questions moms have about pain relief during labor.</span><br /><div><br /><span style="color:#993399;"><strong>Types of pain relief</strong> </span></div><br /><div><span style="color:#993399;">Analgesics- You may want to use analgesics for your pain relief if you don’t like the idea of not being able to feel parts of your body or want to use something less invasive. Analgesics are generally avoided if you are close to delivering as they can slow down babies breathing and reflexes. </span></div><br /><div><br /><strong><span style="color:#993399;">Epidurals</span></strong></div><br /><div><span style="color:#993399;">- Epidurals are a type of local anesthesia that causes you to lose feeling in the lower half of your body. An epidural is a very effective pain relief option for labor; however, it is more invasive and requires you to have a needle inserted into a small area of your lower back called the epidural space. It may take up to twenty minutes for your epidural to take affect and you may still feel your contractions even after getting your epidural. There are some side effects and risks including the potential to cause low blood pressure and spinal headaches. Serious complications are rare. </span></div><br /><div><br /><span style="color:#993399;"><strong>Spinal block</strong>- A spinal block is similar to an epidural and also requires a needle to be inserted in the lower back. It is inserted into the spinal fluid rather than epidural space. A spinal block works quicker than an epidural but only lasts for an hour or two. It is often used for csections as it works very quickly. It is generally only used once during labor so it is best to use when mom is very close to delivering. </span></div><br /><div><br /><span style="color:#993399;"><strong>Walking Epidural</strong> (combined spinal-epidural block)- A walking epidural is a combination of spinal and epidural block. Medicine is injected into both the spinal fluid and the epidural space. To explain this simply, the spinal fluid is a little deeper than the epidural space. The spinal needle is inserted through the epidural needle so that medication can be delivered to both areas. The reason this is called a walking epidural is because moms can move around around with this type of epidural (although most hospitals will not allow you to walk around) and then if the spinal medication loses effect more medication can be inserted through the epidural space.<br />General anesthesia- General anesthesia makes you lose consciousness. This is not ordinarily used during a vaginal birth but may be used in emergency situations or sometimes for cesarean births.<br /></span><span style="color:#993399;"><strong>Frequently Asked Questions about Pain Relief and Childbirth<br /></strong>Are pain medications and epidurals dangerous to mom or baby? During your pregnancy you have been told to avoid taking narcotics and other medications to protect baby so you may be wondering if pain medications are avoided during pregnancy, why wouldn’t they be dangerous during birth? Pain medications cross the placenta during labor and do enter your baby’s blood stream. There are potential side effects that you should be aware of including respiratory depression, central nervous system depression, and problems regulating body temperature. It is best to avoid taking narcotic medications close to when your baby will be born to avoid these possible side effects. Epidurals are given to over half of all moms giving birth in a hospital and they are considered very safe. There are some potentially dangerous side effects; however, including a possible sudden drop in blood pressure, spinal headache, or permanent nerve damage in the area where the epidural is placed. Talk with your doctor or midwife about the risks involved.<br /><strong>How soon can I get something for pain?Analgesics are often given in the earlier stages of labor</strong>. In most cases you will be given an analgesic as soon as you ask for it. Epidurals are generally not given until you are 3 to 4 cm dilated and you are in active labor, meaning that you are having strong contractions 3-4 minutes apart. It used to be suggested that epidurals given too early in labor would lead to stalled labor and increase the chances of needing a cesarean. New studies have shown that this is not true. There is no reason that you have to wait until later into your labor to have an epidural but many women prefer to try to go as long as they can handle it before getting an epidural.<br /><strong>I have heard that epidurals sometimes don’t work</strong>, is this true?Epidurals work well for most women but, sometimes the medication doesn’t get into the epidural space properly and they do not get effective pain relief. Talk to the anesthesiologist if you are still having a lot of pain after twenty minutes and he can normally do something to remedy this without having to reinsert the needle. Epidurals do not always take away all the pain. You may still feel contractions, pressure or even some pain.<br /><strong>Can I wait too long to get medication or an epidural?</strong>Analgesics are not given right before delivery. If you wait until you are close to delivery to request them, you will most likely be told that you can not have them because they can slow down your baby’s breathing and reflexes. Epidurals, on the other hand, can be given close to delivery but keep in mind that they take up to twenty minutes to take effect. If you wait until very close to delivery it may not start to work in time to be of any use</span></div>Aorsakhttp://www.blogger.com/profile/14386153354645555168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6539004750727168747.post-28604539921600931272008-09-20T00:47:00.001-07:002008-09-20T01:57:32.616-07:00During Sex Pregnancy<img alt="Link" src="http://www.blogger.com/img/gl.link.gif" border="0" /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5248007455944000834" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjfxHC8FLVtL94uHpyfztIGeiqgnQ6paos86lOcgJqOIa1ky7hivYcI-kCxB7wvVKJlDXnoeA5Xkiim7M9mJnMS6VNXpoP2Zd05c0iOI6bCBidCKEFKnDQsbgAsOySddx0iIspUzBXt32Y/s400/Thinking_Happy_Thoughts_by_quegebo27.jpg" border="0" /><br /><div><span style="color:#cc33cc;">If you're pregnant or even planning a pregnancy, you've probably found an abundance of information about sex before pregnancy (that is, having sex in order to conceive) and sex after childbirth (general consensus: expect a less active sex life when there's a newborn in the house).<br />But there's less talk about the topic of sex during pregnancy, perhaps because of our culture's tendency to dissociate expectant mothers from sexuality. Like many parents-to-be, you may have questions about the safety of sex and what's normal for most couples.<br />Well, what's normal tends to vary widely, but you can count on the fact that there will be changes in your sex life. Open communication will be the key to a satisfying and safe sexual relationship during pregnancy.<br /></span><span style="color:#cc33cc;"><strong>Is It Safe to Have Sex During Pregnancy?<br /></strong>If you're having a normal pregnancy, sex is considered safe during all stages of the pregnancy.<br />So what's a "normal pregnancy"? It's one that's considered low-risk for complications such as miscarriage or pre-term labor. Talk to your doctor, nurse-midwife, or other pregnancy health care provider if you're uncertain about whether you fall into this category. (The next section of this article may help, too.)<br />Of course, just because sex is safe during pregnancy doesn't mean you'll necessarily want to have it! Many expectant mothers find that their desire for sex fluctuates during certain stages in the pregnancy. Also, many women find that sex becomes uncomfortable as their bodies get larger.<br />You and your partner need to keep the lines of communication open regarding your sexual relationship. Talk about other ways to satisfy your need for intimacy, such as kissing, caressing, and holding each other. You also may need to experiment with other positions for sex to find those that are the most comfortable.<br />Many women find that they lose their desire and motivation for sex late in the pregnancy - not only because of their size but also because they're preoccupied with the impending delivery and the excitement of becoming a new parent.<br /><strong>When It's Not Safe</strong><br />There are two types of sexual behavior that aren't safe for any pregnant woman:<br />If you engage in oral sex, your partner should not blow air into your vagina. Blowing air can cause an air embolism (a blockage of a blood vessel by an air bubble), which can be potentially fatal for mother and child.<br />You should not have sex with a partner whose sexual history is unknown to you or who may have a sexually transmitted disease, such as herpes, genital warts, chlamydia, or HIV. If you become infected, the disease may be transmitted to your baby, with potentially dangerous consequences.<br />If your doctor, nurse-midwife, or other pregnancy health care provider anticipates or detects certain significant complications with your pregnancy, he or she is likely to advise against sexual intercourse. The most common risk factors include:<br />a history or threat of miscarriage<br />a history of pre-term labor (you've previously delivered a baby before 37 weeks) or signs indicating the risk of pre-term labor (such as premature uterine contractions)<br />unexplained vaginal bleeding, discharge, or cramping<br />leakage of amniotic fluid (the fluid that surrounds the baby)<br />placenta previa, a condition in which the placenta (the blood-rich structure that nourishes the baby) is situated down so low that it covers the cervix (the opening of the uterus)<br />incompetent cervix, a condition in which the cervix is weakened and dilates (opens) prematurely, raising the risk for miscarriage or premature delivery<br />multiple fetuses (you're having twins, triplets, etc.)<br />Common Questions and Concerns<br />The following are some of the most frequently asked questions about sex during pregnancy.<br />Can sex harm my baby?<br />No, not directly. Your baby is fully protected by the amniotic sac (a thin-walled bag that holds the fetus and surrounding fluid) and the strong muscles of the uterus. There's also a thick mucus plug that seals the cervix and helps guard against infection. The penis does not come into contact with the fetus during sex.<br /></span><span style="color:#cc33cc;"><strong>Can intercourse or orgasm cause miscarriage or contractions?<br /></strong>In cases of normal, low-risk pregnancies, the answer is no. The contractions that you may feel during and just after orgasm are entirely different from the contractions associated with labor. However, you should check with your health care provider to make sure that your pregnancy falls into the low-risk category. Some doctors recommend that all women stop having sex during the final weeks of pregnancy, just as a safety precaution, because semen contains a chemical that may actually stimulate contractions. Check with your health care provider to see what he or she thinks is best.<br /><strong>Is it normal for my sex drive to increase or decrease during pregnancy</strong>?<br />Actually, both of these possibilities are normal (and so is everything in between). Many pregnant women find that symptoms such as fatigue, nausea, breast tenderness, and the increased need to urinate make sex too bothersome, especially during the first trimester. Generally, fatigue and nausea subside during the second trimester, and some women find that their desire for sex increases. Also, some women find that freedom from worries about contraception, combined with a renewed sense of closeness with their partner, makes sex more fulfilling. Desire generally subsides again during the third trimester as the uterus grows even larger and the reality of what's about to happen sets in.<br />Your partner's desire for sex is likely to increase or decrease as well. Some men feel even closer to their pregnant partner and enjoy the changes in their bodies. Others may experience decreased desire because of anxiety about the burdens of parenthood, or because of concerns about the health of both the mother and their unborn child.<br />Your partner may have trouble reconciling your identity as a sexual partner with your new (and increasingly visible) identity as an expectant mother. Again, remember that communication with your partner can be a great help in dealing with these issues.<br /></span><span style="color:#cc33cc;"><strong>When to Call Your Doctor<br /></strong>Call your health care provider if you're unsure whether sex is safe for you. Also, call if you notice any unusual symptoms after intercourse, such as pain, bleeding, or discharge, or if you experience contractions that seem to continue after sex.<br />Remember, "normal" is a relative term when it comes to sex during pregnancy. You and your partner need to discuss what feels right for both of you.<br />Reviewed by: Elana Pearl Ben-Joseph, MDDate reviewed: October 2007Originally reviewed by: George Macones, MD</span></div>Aorsakhttp://www.blogger.com/profile/14386153354645555168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6539004750727168747.post-64976876706429414782008-08-21T08:59:00.000-07:002008-09-20T01:58:03.060-07:00Why Folic Acid 's so important for pregnancy ทำไมต้องเสริม กรด โฟลิกก่อนตั้งครรภ์<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjGLPcjUUpQnpBOZM49BaU2dLXoJ9GNCxTeX1gLhyphenhyphencPhJSKRMQT4_vpFIsMli2OpCIO8VqbACmbaio9EtXAm5JqUjlnIuJhM6042GztVr3Lxbws0PemvX3s3LVK347y1e7oCwRIE80etnQ/s1600-h/baby.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5237004077136170546" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjGLPcjUUpQnpBOZM49BaU2dLXoJ9GNCxTeX1gLhyphenhyphencPhJSKRMQT4_vpFIsMli2OpCIO8VqbACmbaio9EtXAm5JqUjlnIuJhM6042GztVr3Lxbws0PemvX3s3LVK347y1e7oCwRIE80etnQ/s400/baby.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="color:#cc0000;"></span></div><br /><div><span style="color:#cc33cc;">Having a healthy baby means making sure you're </span><a href="http://kidshealth.org/parent/pregnancy_newborn/pregnancy/preg_health.html"><span style="color:#cc33cc;">healthy</span></a><span style="color:#cc33cc;">, too. One of the most important things you can do to help prevent serious birth defects in your baby is to get enough folic acid every day - especially before conception and during early </span><a href="http://kidshealth.org/parent/pregnancy_newborn/calendar/pregnancy_calendar_intro.html"><span style="color:#cc33cc;">pregnancy</span></a><span style="color:#cc33cc;">.<br /></span><span style="color:#cc33cc;"><strong>What Is Folic Acid?<br /></strong>Folic acid, sometimes called folate, is a B vitamin (B9) found mostly in leafy green vegetables like kale and spinach, orange juice, and enriched grains. Repeated studies have shown that women who get 400 micrograms (0.4 milligrams) daily prior to conception and during early pregnancy reduce the risk that their baby will be born with a serious neural tube defect (a birth defect involving incomplete development of the brain and spinal cord) by up to 70%.<br />The most common neural tube defects are </span><a href="http://kidshealth.org/parent/system/ill/spina_bifida.html"><span style="color:#cc33cc;">spina bifida</span></a><span style="color:#cc33cc;"> (an incomplete closure of the spinal cord and spinal column), anencephaly (severe underdevelopment of the brain), and encephalocele (when brain tissue protrudes out to the skin from an abnormal opening in the skull). All of these defects occur during the first 28 days of pregnancy - usually before a woman even knows she's pregnant.<br />That's why it's so important for all women of childbearing age to get enough folic acid - not just those who are planning to become pregnant. Only 50% of pregnancies are planned, so any woman who could become pregnant should make sure she's getting enough folic acid.<br />Doctors and scientists still aren't completely sure why folic acid has such a profound effect on the prevention of neural tube defects, but they do know that this vitamin is crucial in the development of </span><a href="http://kidshealth.org/parent/system/medical/genetics.html"><span style="color:#cc33cc;">DNA</span></a><span style="color:#cc33cc;">. As a result, folic acid plays a large role in cell growth and development, as well as tissue formation.</span></div><br /><div><br /><span style="color:#cc33cc;"><strong>Getting Enough Folic Acid</strong><br />The U.S. Centers for Disease Control and Prevention (CDC) recommends that all women of childbearing age - and especially those who are planning a pregnancy - consume about 400 micrograms (0.4 milligrams) of folic acid every day. Adequate folic acid intake is very important 1 month before conception and at least 3 months afterward to potentially reduce the risk of having a fetus with a neural tube defect.</span></div><br /><div><br /><span style="color:#cc33cc;">So, how can you make sure you're getting enough folic acid? In 1998, the Food and Drug Administration mandated that folic acid be added to enriched grain products - so you can boost your intake by looking for breakfast cereals, breads, pastas, and rice containing 100% of the recommended daily folic acid allowance. But for most women, </span><a href="http://kidshealth.org/parent/nutrition_fit/nutrition/eating_pregnancy.html"><span style="color:#cc33cc;">eating</span></a><span style="color:#cc33cc;"> fortified foods isn't enough. To reach the recommended daily level, you'll probably need a vitamin supplement.<br />During pregnancy, you require more of all of the essential nutrients than you did before you became pregnant. Although prenatal vitamins shouldn't replace a well-balanced diet, taking them can give your body - and, therefore, your baby - an added boost of vitamins and minerals. Some health care providers even recommend taking a folic acid supplement in addition to your regular prenatal vitamin. Talk to your doctor about your daily folic acid intake and ask whether he or she recommends a prescription supplement, an over-the-counter brand, or both.<br />Also talk to your doctor if you've already had a pregnancy that was affected by a neural tube defect. He or she may recommend that you increase your daily intake of folic acid (even before getting pregnant) to lower your risk of having another occurrence.<br /></span></div><br /><div><span style="color:#cc33cc;">Reviewed by: </span><a href="http://kidshealth.org/parent/misc/reviewers.html"><span style="color:#cc33cc;">Serdar Ural, MD</span></a><span style="color:#cc33cc;">Date reviewed: October 2004</span></div><br /><div><span style="color:#cc33cc;">KidsHealth</span></div><br /><div><span style="color:#cc33cc;"></span></div><br /><div><span style="color:#cc33cc;"></span></div><br /><div><span style="color:#cc33cc;"></span></div><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgvo4oWSy5BKKCrs_ovlwGxEp97MeA9yxrIGo4GLJ7MQq4P_o_JZk9aW5BPArirTFQ9jZzF1GnbXr1M2-d9pGQcEw4KuQBFELhuyyTtZH3MjWzEDVCFHRPvCt2ZW_AwZimNp-2rIoWOwN4/s1600-h/5647.jpg"><span style="color:#cc33cc;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5237002586643034882" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" height="233" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgvo4oWSy5BKKCrs_ovlwGxEp97MeA9yxrIGo4GLJ7MQq4P_o_JZk9aW5BPArirTFQ9jZzF1GnbXr1M2-d9pGQcEw4KuQBFELhuyyTtZH3MjWzEDVCFHRPvCt2ZW_AwZimNp-2rIoWOwN4/s400/5647.jpg" width="371" border="0" /></span></a><span style="color:#cc33cc;"><br /></span><div><span style="color:#cc33cc;">กรดโฟลิกหรืออีกชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกกันทั่วไปว่า "โฟเลต" จัดเป็นวิตามินชนิดหนึ่งในกลุ่มที่ละลายในน้ำ ในร่างกายกรดโฟลิกมีบทบาทสำคัญเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของเซลล์ต่างๆ และมีบทบาทในการสร้างสาคาร์บอน ซึ่งเป็นกลไกการทำงานของดีเอ็นเอในการถ่ายทอดคำสั่งทางพันธุกรรม เพื่อสร้างโปรตีนชนิดต่างๆ รวมทั้งการควบคุมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกเมื่อตั้งครรภ์…โฟลิกกลับลดลงภายหลังการปฏิสนธิโดยการผสมของไข่จากแม่และสเปิร์มจากพ่อ จะเกิดเป็นเซลล์ที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์ของสารพันธุกรรม หลังจากนั้นเซลล์เซลล์เดียวจะมีการแบ่งตัวเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับการก่อรูปของอวัยวะระบบต่างๆ จนเป็นทารกที่สมบูรณ์ การตั้งครรภ์จึงต้องมีการสร้างสายดีเอ็นเอและโปรตีนเพื่อเป็นองค์ประกอบของเซลล์ และเนื้อเยื่อของระบบต่างๆ จำนวนมาก ดังนั้นจึงมีความต้องการกรดโฟลิกเพิ่มมากขึ้น คิดเป็นจำนวนประมาณ 2 เท่าของคนปกติในขณะที่ร่างกายต้องการกรดโฟลิกมากขึ้น กลับพบว่าระหว่างตั้งครรภ์ลำไส้ สามารถดูดซึมกรดโฟลิกจากอาหารได้ลดลง และมีการสูญเสียกรดโฟลิกทางปัสสาวะมากกว่าปกติ ทำให้พบการขาดกรดโฟลิกในสตรีตั้งครรภ์ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไปในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา วงการแพทย์และวงการโภชนาการ ให้ความสนใจกรดโฟลิกนี้มาก เนื่องจากมีรายงานการศึกษาโดยการตรวจหาระดับกรดโฟลิกในเลือดของมารดาที่ตั้งครรภ์ พบว่ามีมารดาที่มีระดับกรดโฟลิกในเลือดต่ำได้ถึงร้อยละ 25 ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติ ของพัฒนาการของสมองและระบบประสาทของทารก เพราะในภาวะปกติสมอง และระบบประสาทจะพัฒนาโดยเริ่มจากแผ่นเนื้อเยื่อระบบประสาทแล้วม้วนตัวเป็นท่อเรียกว่า หลอดประสาท ซึ่งมีสองปลายต่อมาปลายหลอดประสาททั้งสองจะปิด โดยปลายท่อด้านหัวจะพัฒนาเป็นส่วนของสมอง ส่วนปลายด้านหางจะพัฒนาเป็นประสาทไขสันหลัง ในกรณีที่มารดามีระดับกรดโฟลิกในเลือดต่ำ จะมีผลทำให้ปลายท่อหลอดประสาททั้ง 2 ด้านไม่ปิด จึงเกิดความพิการของสมองและประสาทไขสันหลัง ซึ่งมีความรุนแรงได้แตกต่างกันหลายระดับ<br />ทารกที่ขาด "โฟลิก"ในรายที่เป็นมากจะทำให้ทารกคลอดออกมาโดยไม่มีเนื้อสมอง จึงไม่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ จะเสียชีวิตในเวลาไม่นานหลังคลอดส่วนรายที่เป็นน้อยจะพบความพิการของประสาทไขสันหลัง โดยการเกิดความผิดปกติดังกล่าวมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องร่วมด้วยปัจจัยสำคัญได้แก่ การมีความผิดปกติที่บางตำแหน่งของยีน ซึ่งซ่อนอยู่ในประชากรทั่วไปได้ระหว่างร้อยละ 5-25 ความผิดปกตินี้จะไม่แสดงอาการใดๆ แต่มีผลต่อเมตาบอลิซึมของกรดโฟลิกในร่างกาย ทำให้มีสารโฮโมซีสทีนในเลือดสูงขึ้น และมีกรดโฟลิกต่ำลงนอกจากนี้อาจมีปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น การได้รับความร้อนในระยะเวลาสั้นๆ จากการเป็นไข้ การประคบด้วยกระเป๋าน้ำร้อนหรืออบซาวน่า รวมทั้งการได้รับยาป้องกันโรคลมชักบางชนิด ซึ่งมารดาที่มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้หากได้รับกรดโฟลิกเพิ่มจากอาหารปกติอีกวันละ 400 ไมโครกรัม ในรูปของยาหรืออาหารที่เสริมด้วยกรดโฟลิกจะสามารถป้องกันหรือลดการเกิดความพิการดังกล่าวได้<br />ทำไมต้องเสริมโฟลิกก่อนตั้งครรภ์<br />เนื่องจากพัฒนาการของสมองและระบบประสาทเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องภายหลังการปฏิสนธิ โดยหลอดประสาทจะปิดอย่างสมบูรณ์ในระหว่างสัปดาห์ที่ 3-4 หลังการปฏิสนธิ (วันที่ 21-28) ซึ่งปกติกว่าที่แม่จะรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ โดยสังเกตจากประจำเดือนไม่มาตามกำหนด แล้วจึงไปพบแพทย์ก็ล่วงเข้าสัปดาห์ที่ 3 เป็นอย่างเร็วที่สุด การเริ่มรับประทานกรดโฟลิกในระยะนี้จึงไม่ทันการณ์ดังนั้นหากจะให้ได้ผลจริงๆ จะต้องเริ่มรับประทานกรดโฟลิกก่อนตั้งครรภ์ประมาณ 1-3 เดือน เป็นอย่างน้อย และถ้าจะให้ครอบคลุมถึงการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้าให้ครบถ้วนด้วย จะต้องแนะนำให้สตรีวัยเจริญพันธุ์ทุกคนรับประทานกรดโฟลิกเพิ่มทุกวันเป็นประจำในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีอุบัติการณ์ของโรคสมองพิการแต่กำเนิดมากประเทศหนึ่ง ได้รณรงค์ให้สตรีวัยเจริญพันธุ์รับประทานกรดโฟลิกเพิ่มวันละ 400 ไมโครกรัม ในรูปของยาเม็ดหรืออาหารที่เสริมด้วยกรดโฟลิกมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีแล้ว และพบว่าสามารถลดการเกิดความพิการของสมองได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้จะมีผู้ที่ทำตามคำแนะนำอย่างครบถ้วนเพียงร้อยละ 30 ก็ตามนอจากนี้ยังพบว่าการรับประทานกรดโฟลิกยังช่วยป้องกันหรือลดความพิการของอวัยวะระบบอื่นๆ เช่น ภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ และโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ทั้งช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ เช่น ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด ภาวะการแท้งบุตร และภาวะครรภ์เป็นพิษด้วยความจริงกรดโฟลิกมีในอาหารที่เรารับประทานเป็นประจำ โดยพบมากใน ผักใบเขียว ถั่วลันเตา ตับและผลไม้บางชนิด<br />ปริมาณกรดโฟลิกในอาหารชนิดต่างๆ<br />คะน้า (ดิบ) คะน้า (สุก) กระหล่ำปลี (ดิบ) กระหล่ำปลี (สุก)กระหล่ำดอก (ดิบ) กระหล่ำดอก (สุก) ปวยเล้ง (ดิบ) ปวยเล้ง (สุก) ผักกาดหอม (ดิบ) ผักบร็อกโคลี (ดิบ) ผักบร็อกโคลี (สุก) หน่อไม้ฝรั่ง (ดิบ) หน่อไม้ฝรั่ง (สุก) ถั่วลันเตา (ดิบ) ถั่วลันเตา (สุก) น้ำส้ม ตับหมู (3 ออนซ์) ตับไก่ (ชิ้น)ความต่างของ "โฟลิก" ในรูปอาหารกับรูปยาเม็ดเนื่องจากกรดโฟลิกเป็นวิตามินที่ถูกทำลายได้ด้วยความร้อน ดังนั้นเมื่อปรุงอาหารโดยใช้ความร้อน จะทำให้มีการสูญเสียกรดโฟลิกได้ตั้งแต่ร้อยละ 50-95 นอกจากนี้กรดโฟลิกที่มีในอาหารจะถูกดูดซึมได้น้อยกว่า (ประมาณร้อยละ 50) เมื่อเทียบกับกรดโฟลิกที่รับประทานในรูปของยาเม็ด ดังนั้นแม้ผู้ที่ตั้งครรภ์จะได้รับประทานอาหารเหล่านี้เป็นประจำอยู่แล้ว ก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดการขาดกรดโฟลิกได้ ยิ่งผู้ที่มียีนผิดปกติแฝงอยู่ ยิ่งมีความจำเป็นต้องได้รับกรดโฟลิกมากขึ้นเป็นพิเศษกว่าคนทั่วไป<br />สำหรับในบ้านเรา แม้จะพบความพิการทางสมองในทารกแรกเกิดและมีผู้ที่มียีนผิดปกติแฝงอยู่ได้ แม้ไม่สูงเท่าประชากรในประเทศทางตะวันตก แต่ก็ควรรับประทานกรดโฟลิกเพิ่มวันละ 400 ไมโครกรัม เช่นเดียวกัน ซึ่งกรดโฟลิกชนิดเม็ดที่มีจำหน่ายมี 2 ขนาด คือ 1 มิลลิกรัม และ 5 มิลลิกรัม ซึ่งหากใช้ขนาด 1 มิลลิกรัม ก็รับประทานวันละครึ่งเม็ด แต่หากเป็นขนาด 5 มิลลิกรัม ให้รับประทานเพียงวันละ 1/10 เม็ด"โฟลิก" ชนิดเม็ด แค่ไหนไม่อันตรายโดยทั่วไปกรดโฟลิกเป็นยาที่มีความปลอดภัยสูง จะมีข้อควรระวังเฉพาะในผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ ซึ่งมีโอกาสเกิดภาวะซีดและปลายประสาทอักเสบจากการขาดวิตามินบี 12 การรับประทานกรดโฟลิกในขนาดสูงๆ จะทำให้บดบังอาการ และทำให้การวินิจฉัยโรคล่าช้า จนเกิดการทำลายของปลายประสาทอย่างถาวรได้อย่างไรก็ตามเพื่อความปลอดภัยขอแนะนำให้รับประทานกรดโฟลิกไม่เกินวันละ 1 มิลลิกรัม (10,000 ไมโครกรัม) สำหรับท่านที่ไม่ชอบรับประทานยา การเพิ่มการรับประทานอาหารที่มีกรดโฟลิกสูงแทนยาเม็ด อาจไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรเนื่องจากเหตุผลดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และในบ้านเรายังไม่มีผัก หรือธัญพืชที่เสริมด้วยกรดโฟลิกจำหน่าย ดังนั้นการรับประทานกรดโฟลิกในรูปยาเม็ดยังเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน</span></div><div><span style="color:#cc33cc;">ที่มา..</span><a href="http://www.elib-online.com/books/loveson.html" target="_blank"><span style="color:#cc33cc;"> นิตยสารรักลูก </span></a><span style="color:#cc33cc;">ปีที่ 21 ฉบับที่ 245 มิถุนายน 2546 </span></div></div>Aorsakhttp://www.blogger.com/profile/14386153354645555168noreply@blogger.com1